สรุปสเปก iPhone 13 และ Apple Watch Series 7 ก่อนเปิดตัวในงาน Apple Event “California streaming”
นับจากเวลานี้ เหลือเวลาอีกเพียง 30 ชั่วโมงเศษ ก่อนที่ แอปเปิล (Apple) จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในงาน Apple Event “California streaming” แน่นอนว่าพระเอกของงานคงหนีไม่พ้น iPhone 13 และ Apple Watch Series 7 iPhone 13 (ไอโฟน 13) และ Apple Watch Series 7 เป็นผลิตภัณฑ์ระดับเรือธงที่ผู้คนจำนวนมากให้ความสนใจและจับตามองอย่างใกล้ชิด เรามาดูกันว่าสองผลิตภัณฑ์ใหม่ของแอปเปิล จะมีสเปกและฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่างไรบ้าง
ว่ากันว่า Apple Watch Series 7 มีการออกแบบที่สลับซับซ้อนกว่ารุ่นก่อนๆ จึงทำให้มีความเป็นไปได้ว่าในระยะแรกของการวางจำหน่าย Apple Watch Series 7 จะมีสินค้าจำนวนจำกัด
ในเรื่องการออกแบบของ Apple Watch Series 7 ได้เน้นไปที่ความแบนของจอ เช่นเดียวกับขอบของนาฬิกา อีกทั้งขนาดของนาฬิกาก็จะใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้านี้พอสมควร โดยมีให้เลือกด้วยกันสองขนาด ได้แก่ ขนาด 41 มิลลิเมตร และ 45 มิลลิเมตร
ขณะที่ขนาดของหน้าจอจากเดิม Apple Watch Series 6 มีขนาดหน้าจอที่ 1.78 นิ้ว ความละเอียด 448 x 368 พิกเซล แต่ Apple Watch Series 7 ขนาดหน้าจอจะใหญ่ขึ้นอยู่ที่ 1.9 นิ้ว และมีความละเอียด 484 x 396 พิกเซล
ชิปประมวลผล ไม่น่าแปลกใจมาก เพราะมีการเปลี่ยนแปลงทุกปี โดย Apple Watch Series 7 จะใช้ชิปประมวลผล Apple S7 ซึ่งจะทำงานได้เร็วกว่าเดิม
เซนเซอร์ด้านสุขภาพของ Apple Watch Series 7 คงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า โอกาสที่เราจะได้เห็นเซนเซอร์วัดอุณหภูมิในร่างกาย, ความดันโลหิต และการอ่านค่าน้ำตาลในเลือด อาจต้องในปี 2022
จนถึงชั่วโมงนี้ สุดท้ายแล้วแอปเปิลน่าจะใช้ชื่อ iPhone 13 เป็นชื่อรุ่นของสมาร์ทโฟนเรือธงประจำปี 2021 แม้จะมีผู้คนจำนวนมากตั้งข้อสังเกตว่า เลข 13 เป็นเลขอัปมงคลของชาวตะวันตกก็ตาม แต่ถ้าหากเราดูผลิตภัณฑ์อื่นๆ ภายใต้แบรนด์แอปเปิล สังเกตได้ว่า แอปเปิลใช้เลข 13 เป็นจำนวนมาก ยกตัวอย่าง ระบบปฏิบัติการ iOS 13 และ MacBook Pro ก็มีรุ่น 13 นิ้ว
จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่าแอปเปิลไม่น่าจะคิดมาก หรือเป็นกังวลกับตัวเลข “13” สักเท่าไร
ด้านการออกแบบ iPhone 13 ไม่แตกต่างกับ iPhone 12 มากนัก แบ่งออกเป็น 4 โมเดลเหมือนเดิม ได้แก่ iPhone 13 mini, iPhone 13, iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ขนาดหน้าจอก็เหมือนเดิม ไล่มาตั้งแต่ 5.4 นิ้ว, 6.1 นิ้ว และ 6.7 นิ้ว
พร้อมกันนี้ รอยบาก (notch) จะมีขนาดที่เล็กลงกว่ารุ่นก่อนหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่แฟนคลับแอปเปิลจำนวนมากต้องการ แต่กว่าที่รอยบากจะหายไปทั้งหมด ก็อาจต้องรอไปจนถึงการเปิดตัว iPhone 14 ในปี 2022 เลยทีเดียว
ต่อมาเป็นเรื่องของชิปเซต iPhone 13 จะใช้ชิป Apple A15 Bionic โดยที่จำนวนแกนของซีพียูยังคงเดิมที่ 6 แกน (Hexa-core) แต่การประมวลผลจะเร็วขึ้น
ในเรื่องของหน้าจอ คาดว่า iPhone 13 จะมี LTPO (Low-Temperature Polycrystalline Oxide) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่แอปเปิลพัฒนาขึ้นมา และนำไปใช้ครั้งแรกใน Apple Watch Series 4
LTPO เป็นชิ้นส่วนของฮาร์ดแวร์ ทำหน้าที่ควบคุมการเปิดและปิดของพิกเซลบนหน้าจอแสดงผลได้ ส่งผลให้เป็นการประหยัดแบตเตอรี่ไปในตัว ดังนั้นแล้วเราก็น่าจะได้เห็นฟีเจอร์รีเฟรชเรตครั้งแรกใน iPhone 13 (ไอโฟน 13)ด้วยเทคโนโลยีที่ว่านี้
ด้านการถ่ายภาพ แอปเปิลจะเน้นการถ่ายภาพในแนวตั้งมากขึ้น โดยมีฟีเจอร์พิเศษที่เรียกว่า Cinematic Video พร้อมขุมพลังเอไอ ช่วยยกระดับคุณภาพของการถ่ายภาพและวิดีโอ และโหมดการถ่ายภาพแบบโปร (Pro mode) ก็น่าจะถูกเพิ่มเติมเข้ามาใน iPhone 13
สุดท้ายเป็นเรื่องที่เคยสร้างเสียงฮือฮามากที่สุด นั่นคือ ฟีเจอร์การเชื่อมต่อกับดาวเทียม ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานสามารถส่งข้อความ หรือโทรออกฉุกเฉินเพื่อขอความช่วยเหลือได้
อย่างไรก็ดี ในเวลานี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าฟีเจอร์การเชื่อมต่อดาวเทียมจะมาใน iPhone 13 นี้เลย หรือจะได้เห็นใน iPhone 14 ที่จะวางจำหน่ายในปีหน้า.
Write a Comment