สำรวจมือถือ ‘5G’ เรือธงแบรนด์ดัง ต้อนรับ iPhone12 เข้าไทย!
รับโครงการ "ช้อปดีมีคืน" สำรวจมือถือเรือธงรุ่น “5G” ที่แพงที่สุดของแบรนด์ชั้นนำ พร้อมเช็คสเปคและจุดเด่นแต่ละรุ่น เอาใจผู้บริโภคสายเปย์ตัวท็อป และต้อนรับผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง iPhone 12 ที่จะวางจำหน่ายในไทย 27 พ.ย.นี้
สมรภูมิสมาร์ทโฟน 5G ทั่วโลกกำลังถูกจับตามองอย่างมาก หลังจากเมื่อเร็วๆ นี้ “Apple” ส่งมือถือเรือธงซีรีส์ล่าสุด “iPhone 12” ที่ออกมา 4 รุ่นพร้อมคุณสมบัติรองรับเทคโนโลยี 5G หวังรุกตลาดสมาร์ทโฟนเจนใหม่อย่างเต็มตัว อย่างไรก็ดี ขณะนี้ยักษ์ใหญ่สหรัฐยังไม่ประกาศวันวางจำหน่าย iPhone 12 ในไทยอย่างเป็นทางการ แต่คาดกันว่าอย่างเร็วที่สุดภายในสิ้นเดือน พ.ย. หลังจากปล่อยให้ค่ายคู่แข่งเปิดตัวมือถือ 5G ไปก่อนหน้านี้ Apple กระโจนสู่สมรภูมิ 5G ถือว่าช้ากว่าคู่แข่งพอสมควร บรรดานักวิเคราะห์มองว่า Apple ต้องการใช้ iPhone รุ่นรองรับ 5G ในการรักษาภาพลักษณ์พรีเมียมของแบรนด์ เพราะตอนนี้ คู่แข่งยักษ์ใหญ่อย่าง “ซัมซุง” (Samsung) ของเกาหลีใต้ และ “หัวเว่ย” (Huawei) ของจีน ต่างมีสมาร์ทโฟนรุ่น 5G ในตลาดกันหมดแล้ว 5G คือ รุ่นที่ 5 ของการสื่อสารที่ถูกพัฒนามาจาก 1G ยุคมือถืออนาล็อก, 2G ยุคแรกของมือแบบดิจิทัล ส่ง SMS ผ่านมือถือได้, 3G ยุคโทรศัพท์แบบเห็นหน้า ดูโทรทัศน์ เล่นเกมออนไลน์ เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา และ 4G ยุคอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง สามารถดู Youtube แบบ HD บนมือถือซึ่งใช้กันแพร่หลายในขณะนี้ รวมถึงพื้นที่ส่วนใหญ่ในไทย ปัจจุบัน พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี (EEC) และหัวเมืองใหญ่ตามภาคต่างๆ เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต ฯลฯ เปิดให้ใช้งาน 5G เชิงพาณิชย์ได้แล้ว นอกจากใช้ในการสื่อสารบนสมาร์ทโฟนแล้ว 5G ยังมีประโยชน์อย่างมากต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ เช่น แทบเล็ตและสมาร์ทดีไวซ์ภายในบ้าน และยังรองรับการใช้งานอุปกรณ์ Internet of Things (IoT) ได้ครอบคลุมมากขึ้น เช่น รถยนต์ไร้คนขับ, หุ่นยนต์ในโรงงาน, เทคโนโลยีการแพทย์ทางไกล, ศักยภาพของระบบค้าปลีก และการซื้อของออนไลน์ เป็นต้น ขณะเดียวกัน ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลยังเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของ 5G ตัวอย่างเช่น การดาวน์โหลดไฟล์ใหญ่หรือคลิปภาพยนตร์ออนไลน์ขนาด 8K ที่มีความละเอียดระดับ FUHD (ย่อมาจาก Full Ultra HD) มีขนาด 7680 x 4320 พิกเซล หรือมีความละเอียด 33.2 เมกะพิกเซล หากเป็นเครือข่าย 4G จะต้องรอ 6 นาทีถึงโหลดเสร็จ แต่หากเป็น 5G จะใช้เวลาเพียง 6 วินาทีเท่านั้น หรือเร็วขึ้นอย่างน้อย 10 เท่า! นอกจากนี้ หากมี 5G ผู้ใช้งานจะสามารถเชื่อมต่อไปปลายทางได้ไวถึง 0.001 วินาที รับ-ส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตเพิ่มเป็น 1,000 เท่า ใช้พลังงานในการเชื่อมต่อน้อยลง 90% ซึ่งอาจช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ถึง 10 ปี
ส่วนปัญหาอินเทอร์เน็ตอืดจากความหนาแน่นของจำนวนผู้ใช้งานในพื้นที่นั้นๆ หากเป็นยุค 4G จะรองรับผู้ใช้งานได้ราว 1 แสนคนต่อพื้นที่ 1 ตร.กม. แต่หากเป็นยุค 5G จะรองรับผู้ใช้งานได้ 1 ล้านคนต่อพื้นที่ 1 ตร.กม. หรือมากขึ้นถึง 10 เท่า จึงแทบหมดปัญหาเรื่องความหน่วงของสัญญาณ สำหรับสมาร์ทโฟนที่รองรับเครือข่าย 5G จากค่ายต่างๆ ทยอยวางจำหน่ายกันตั้งแต่ปีที่แล้ว เช่น Samsung, Huawei, Oppo, Vivo, Xiaomi และ Apple ที่เพิ่งเข้าตลาด 5G ในปีนี้ มีตั้งแต่รุ่นราคาประหยัดไปจนถึงรุ่งเรือธงของแต่ละยี่ห้อ ขึ้นอยู่กับงบประมาณและความชื่นชอบของผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ได้รวบรวมลิสต์มือถือเรือธงรุ่น 5G ตัวท็อปที่ราคาแพงที่สุดจาก 6 ค่ายใหญ่มาประชันคุณสมบัติ เพื่อเป็นข้อมูลเปรียบเทียบสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟนรุ่น 5G ในเร็วๆ นี้ iPhone 12 Pro Max รุ่นตัวท็อปจาก Apple ที่เปิดตัวในเดือน ต.ค. ค่ายดังย้ำว่าเป็น iPhone ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา พร้อมขนาดใหญ่ที่สุดถึง 6.7 นิ้ว และจอภาพ Super Retina XDR แบบขอบจรดขอบ, ด้านหน้าเป็น Ceramic Shield แบบใหม่หมดที่จะช่วยปกป้องตัวเครื่อง เรียกได้ว่าเป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ที่สุดในด้านความทนทานสำหรับ iPhone นอกจากนี้ยังมีชิพที่เร็วที่สุดในสมาร์ทโฟนอย่าง A14 Bionic iPhone 12 Pro Max มาในดีไซน์แบบสแตนเลสสตีล โดยมีให้เลือก 4 สี ได้แก่ กราไฟต์ เงิน ทอง และแปซิฟิกบลู เรื่องกล้องคือจุดขายของรุ่นนี้ โดยมาพร้อมกับกล้องหลัง 3 ตัว ขนาด 12 ล้านพิกเซล f/1.6 โดยจะมีกล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซลและยังมีเซ็นเซอร์ LiDAR ซึ่งจะทำให้เทคโนโลยี AR สมจริงยิ่งขึ้น และจะช่วยให้ถ่ายภาพออกมาสวยขึ้น ส่วนราคารุ่นแพงที่สุดของค่ายนี้คือ iPhone 12 Pro Max ความจุ ROM 512 GB ตั้งราคาขายในอเมริกาไว้ที่ 1,549 ดอลลาร์ ขณะที่ในไทย ราคาอยู่ที่ 51,900 บาท และจะวางจำหน่ายในร้านค้าบ้านเราวันศุกร์ 27 พ.ย.นี้ HUAWEI P40 Pro ตัวท็อปจากหัวเว่ย ค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ของจีน ที่เปิดตัวเมื่อต้นปีนี้ โดยมาพร้อม Leica Quad Camera กล้องหลัง 4 ตัว ที่มีไฮไลท์คือ Ultra Wide Cine Camera และ ToF Camera รวมถึงระบบ SuperSensing Zoom ที่สามารถซูมได้ถึง 50 เท่า ช่วยเพิ่มขีดความสามารถการถ่ายภาพจากระยะไกล และยังสามารถเก็บเสียงระยะไกลได้ด้วย Directional Audio Zoom นอกจากนี้ HUAWEI P40 series ทุกรุ่นยังมาพร้อมความสามารถในการรองรับ 5G ได้อย่างเต็มรูปแบบ ทุกย่านความถี่ ทั้งสองซิม ด้วยชิปเซ็ตทรงประสิทธิภาพ Kirin 990 ที่รวมเอาโปรเซสเซอร์และโมเด็มไว้ด้วยกัน มอบความเสถียรและประหยัดพลังงาน จากการสำรวจ ราคารุ่นแพงที่สุดในตลาดของค่ายนี้คือ Huawei P40 Pro ความจุ ROM 512 GB ตั้งราคาขายในไทยไว้ที่ 40,990 บาท
Write a Comment