11 ปี 'iPhone' กับโทรศัพท์มือถือ 21 รุ่น
โลกรู้จักกับโทรศัพท์มือถือ “ไอโฟน” หลังจากบริษัทแอปเปิ้ลเปิดตัวไอโฟนรุ่นแรกโดย สตีฟ จอบส์ ในงานแม็คเวิลด์ วันที่ 9 มกราคม 2007 (พ.ศ.2550) และวางจำหน่ายครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2550
โดยไอโฟนรุ่นแรกที่วางจำหน่าย ในปี 2007 (พ.ศ.2550) คือ ไอโฟน (iPhone) หน้าจอ 3.5 นิ้ว เป็นสมาร์ทโฟนที่รองรับเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS เวอร์ชั่นแรก กล้องหลังมีความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ความจุตัวเครื่อง 4 GB รองรับการเชื่อมต่อ GPRS, Edge, Wi-Fi และBluetooth 2.0 ราคาเริ่มต้น 16,400 บาท
เป็นไอโฟนรุ่นแรกที่รองรับเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G เปิดตัวปี 2008 หน้าจอขนาด 3.5 นิ้ว กล้องมีความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ความจุตัวเครื่องเริ่มต้นที่ 8 GB รองรับการเชื่อต่อมผ่าน GPRS, Edge, Wi-Fi, 3G และBluetooth 2.0 ราคาเริ่มต้น 24,500 บาท
การมาของ ไอโฟน 4 แม้หน้าจอยังเป็น 3.5 นิ้ว แต่ความละเอียดของหน้าจอเพิ่มขึ้นเป็น 640 x 960 พิกเซล Retina Display มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 4 และมีการออกแบบใหม่หมด รองรับมัลติทาสกิ้ง ระบบเช็กคำผิด และ iBooks ความละเอียดกล้องหลัง 5 ล้านพิกเซล และเป็นไอโฟนรุ่นแรกที่กล้องหลังมีแฟลช และมีกล้องหน้า VGA ราคาเริ่มต้น 22,250 บาท
ไอโฟน 5 เป็นรุ่นแรกที่รองรับ 4G LTE มีหน้าจอขนาด 4 นิ้ว ความละเอียด 640 x 1136 พิกเซล ตัวเครื่องบางลง 18 % และเบาลง 20 % มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 6 ใช้ชิปประมวลผล Apple A6 แบบ Dual-core กล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล เป็นรุ่นแรกที่มีพอร์ต Lightning Connector มีไมโครโฟน 3 ตัว และเริ่มใช้ซิมขนาด Mono SIM ราคาเริ่มต้น 24,550 บาท
เป็นครั้งแรกที่โอโฟนเปิดตัวพร้อมกัน 2 รุ่น ด้วยดีไซน์ที่แตกต่างกัน โดยรุ่น iPhone 5s ตัวเครื่องเป็นอลูมีเนียม มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Touch ID ใช้ชิปประมวลผล Apple A7 มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 7 กล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล ราคาเริ่มต้น 24,500 บาท
ส่วน iPhone 5C ตัวเครื่องทำจากพลาสติก ใช้ชิปประมวลผล Apple A6 มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 7 กล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล ราคาเริ่มต้น 20,700 บาท
ไอโฟน 6 มีความบาง 6.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 129 กรัม ส่วนไอโฟน 6 พลัส มีความบาง 7.1 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 172 กรัม ทำให้ ไอโฟน 6 ทั้ง 2 รุ่นมีความบางกว่า ไอโฟนรุ่นอื่น ๆ
ทั้ง 2 รุ่น มีกล้องหลังความละเอียดเท่ากัน 8 ล้านพิกเซล และใช้เซ็นเซอร์ใหม่ที่เรียกว่า Focus Pixels ทำให้ออโต้โฟกัสที่รวดเร็วยิ่งกว่าเดิม ระบบตรวจจับใบหน้าที่แม่นยำกว่าเดิม และการควบคุมค่าแสงที่ดียิ่งขึ้น แต่จุดที่ทำให้แตกต่างอยู่ที่ระบบกันสั่น (stabilization) โดยไอโฟน 6 รุ่นจอ 4.7 นิ้ว จะไม่มีฮาร์ดแวร์กันสั่น แต่จะใช้ซอฟต์แวร์เข้ามาเป็นตัวช่วย ส่วนไอโฟน 6 พลัส จะมีฮาร์ดแวร์กันสั่น Optical Image Stabilization (OIS)
เป็นรุ่นต่อยอดมาจากไอโฟน 6 ดีไซน์เหมือนเดิม แต่เพิ่มความสามารถโดยทั้งคู่มีหน้าจอแบบ Force Touch รับรู้แรงกดได้ และมีสีใหม่คือ สีโรสโกลด์
ฟีเจอร์ที่โดดเด่นที่สุดของ ไอโฟน 6s ก็คือ มี 3D Touch เป็นครั้งแรกทำให้ไอโฟน 6s สามารถรับรู้น้ำหนักของการกดหน้าจอได้ เพื่อให้สามารถใช้น้ำหนักการกด ควบคุมฟีเจอร์ต่างๆ ได้มากขึ้นกว่าเดิม เช่น การแตะเข้าแอพพลิเคชั่นต่างๆ ถ้าแตะก็เป็นการเข้าแอพฯ ตามปกติ แต่หากกดลงไปด้วยน้ำหนักที่มากขึ้นจะเป็นการเปิดเมนู Shortcut ต่างๆ ขึ้นมาให้เลือกอย่างรวดเร็วมากขึ้น
ไอโฟน 7 หน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว และไอโฟน 7 พลัสหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 326 และ 401 ppi กล้อง 12 ล้านพิกเซล, ระบบกันสั่น, ส่วน ไอโฟน 7 พลัส มีกล้องคู่ซูมสองเท่า สามารถถ่ายหน้าชัดหลังเบลอได้ ตัวเครื่องกันน้ำ กันฝุ่น ระดับ IP67 มีสีให้เลือก คือ สีดำเจ็ทแบล็ค (ใหม่), สีดำ (ใหม่), สีเงิน,สีทอง และสีทองชมพู
iPhone X หรือ ไอโฟน เท็น ตามการเรียกภาษาโรมัน กับการออกแบบใหม่ที่ไร้ปุ่ม Home (โฮม) แต่สามารถสไลด์ด้านล่างตัวเครื่องเพื่อเปลี่ยนกลับหน้าจอ หรือเปลี่ยนแอพพลิเคชั่นผ่านการสไลด์ด้านล่างตัวเครื่องและค้างไว้เล็กน้อยเท่านั้น หน้าจอของ ไอโฟน เท็น มีขนาดเต็มหน้าจอ เป็น OLED ขนาด 5.8 นิ้ว ที่เรียกว่า Super Retina Display สามารถกันน้ำ โดยมี 2 สีให้เลือก คือ ดำและเงิน พร้อมกับการพัฒนาระบบ Face ID หรือการสแกนหน้า ที่มาแทนการยืนยันตัวตนด้วยลายนิ้วมือ ด้วยเทคโนโลยีอินฟราเรด ที่เครื่องจดจำเรียนรู้จักหน้าที่บันทึกไว้แบบสามมิติ (อ่านข่าว : "แอปเปิ้ล" จัดหนักฉลอง 10 ปี เปิดตัว iPhone X ดีไซน์กล้องใหม่ไร้ปุ่มโฮม )
แอปเปิ้ล ระบุว่า ไอโฟน XS และไอโฟน XS Max ติดตั้งระบบกล้องใหม่ทั้งที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม เช่น สามารถถ่ายภาพในสภาพที่มีแสงน้อยได้คมชัดมากขึ้น และปรับแต่งความชัดตื้นของภาพหลังถ่ายได้
นอกจากนี้ ไอโฟน XS มีระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ที่นานกว่าไอโฟน X ประมาณ 30 นาที ขณะที่ไอโฟน XS Max ใช้งานได้นานกว่าไอโฟน X ถึง 90 นาที โดยแบตเตอรี่ไอโฟน XS Max มีขนาดใหญ่กว่าแบตเตอรี่ของโทรศัพท์ทุกรุ่นที่แอปเปิ้ลผลิต รวมทั้งมีหน้าจอขนาด 6.5 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่าหน้าจอไอโฟนรุ่นอื่นๆ เช่นกัน
ราคาของ ไอโฟน XS เริ่มต้นที่ 999 ดอลลาร์ หรือ 33,000 บาท และไอโฟน XS Max มีราคาเริ่มต้นที่ 1,099 ดอลลาร์ หรือ 36,000 บาท
ส่วน ไอโฟน XR จะเป็นสินค้าทางเลือกสำหรับสาวกไอโฟนที่ต้องการสินค้าในราคาที่ไม่สูงจนเกินไป โดย ไอโฟน XR มีราคาเริ่มต้นที่ 745 ดอลลาร์ หรือ ประมาณ 24,000 บาท ( อ่านข่าว : แอปเปิ้ลเผยโฉมไอโฟน XS ไอโฟน XS Max และไอโฟน XR )
Write a Comment