10 อันดับมือถือสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดในขณะนี้

10 อันดับมือถือสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดในขณะนี้

10 อันดับโทรศัพท์มือถือ ที่ได้รับความนิยมในขณะนี้

โทรศัพท์มือถือ หรือ สมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะเป็น Apple (iPhone) หรือ Android ใคร ๆ ต่างก็อยากได้สมาร์ทโฟนคุณภาพในราคาย่อมเยากันทั้งนั้น โดยฉะเพราะ Android ที่มีตัวเลือกหลากหลายยี่ห้อที่ไม่ว่าจะเป็น Samsung, Huawei หรือจะเป็นแบรนด์น้องใหม่มาแรงอย่าง Realme วันนี้เราจะมาบอกถึงเคล็ดลับที่จะเลือกซื้อสมาร์ทโฟนที่ดีและแบรนด์ใดที่น่าเชื่อถือที่สุด โดยมีราคาที่เหมาะสมกับคุณภาพให้คุณได้รู้จักวิธีการเลือกซื้อสมาร์ทโฟนที่ถูกต้องกันนะคะ

ปัจจุบันนี้โทรศัพท์มือถือได้เข้ามาแทนที่กล้องถ่ายรูป มันสามารถใช้สื่อสาร แจ้งเตือน และให้ความบันเทิงได้หลากหลาย ทั้งยังมีแบตเตอรี่ที่ยาวนาน แม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่กล้องถ่ายรูปที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับคุณภาพของกล้องถ่ายรูปจริง ๆ แต่มันก็ทำหน้าที่ได้ดี และมีฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลายมากกว่า จึงไม่แปลกใจที่สมาร์ทโฟนจะเป็นที่นิยมอย่างมาก

แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาโทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ทโฟนที่ดีสักเครื่อง ที่มีฟังก์ชันการทำงานที่ครบถ้วน และสิ่งสำคัญคือราคาต้องสมเหตุสมผล คำแนะนำของเราจะช่วยให้คุณเลือกระบบปฏิบัติการ แบรนด์ และคุณสมบัติเพิ่มเติมที่คุณจะใช้จริง ๆ ได้

การเลือกมือถือสมาร์ทโฟนที่มีคุณภาพดีไม่ใช่แค่ว่าดูที่ราคาอย่างเดียวเท่านั้น แต่ควรจะดูไปถึงร้านที่ซื้อและบริการหลังการขาย เพื่อให้การซื้อสินค้าเป็นไปอย่างคุ้มค่ามากที่สุด เรามาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้างที่เราจำเป็นต้องทราบก่อนการเลือกซื้อมือถือสมาร์ทโฟนที่มีคุณภาพสักเครื่องหนึ่ง รับรองว่าคุณจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

Iphone 12 Pro Max

สำหรับ iPhone 12 Pro Max ถือเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนไม่กี่รุ่นที่เราตั้งใจสั่งซื้อมาใช้งานเอง ด้วยเหตุผลสำคัญคือต้องการนำมาใช้งานจริงแบบยาวๆ เพื่อที่จะได้รับประสบการณ์ดั่งผู้ใช้งานทั่วไป โดยที่ไม่ต้องรีบเร่งทำเวลามากนัก ดังนั้นการรีวิว iPhone 12 Pro Max ครั้งนี้จะมีรูปแบบที่แตกต่างไปจากรีวิวสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ของเราก่อนหน้านี้ โดยเราจะรีวิวในสไตล์เล่าสู่กันฟังตามประสบการณ์ที่ได้รับการจากการใช้งาน พร้อมสรุปแบบกระชับ เรียกได้ว่ามีจุดเด่นจุดด้อยจากที่ได้ใช้งานมาอย่างไร เราก็จะนำเอามาแจกแจงให้ทุกท่านได้เห็นเป็นข้อๆ อย่างชัดเจนเลยทีเดียว ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่กำลังตัดสินใจซื้ออยู่ไม่น้อย

เว็บไซต์สำหรับการสั่งซื้อสินค้า : Lazada

Samsung Galaxy Note 10 Plus

จุดเด่นของ Samsung Galaxy Note นี้นับว่าเป็นสิ่งที่ล้ำไม่มีใครเกินเช่นกัน ขนาดตัวเครื่อง 162.3 x 77.2 x 7.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 196 กรัม (5G 198 กรัม) หน้าจอ Dynamic AMOLED ขนาด 6.8 นิ้ว ความละเอียด QHD+ รองรับ HDR10+ สแกนนิ้วใต้หน้าจอ Ultrasonic

กล้องหน้าความละเอียด 10MP รูรับแสง f/2.2 โหมด Night Shot ขณะที่กล้องหลัง Quad lens มีเลนส์มุมกว้าง Ultrawide 123 องศา ความละเอียด 16MP รูรับแสง f/2.2 เลนส์หลัก มุมกว้าง ความละเอียด 12MP รูรับแสง f/1.5 & 2.4

เลนส์เทเลโฟโต้ ความละเอียด 12MP รูรับแสง f/2.1เลนส์ชัดลึก DoF พร้อมทั้งชิปประมวลผล Exynos 9825 RAM 12GB ROM 256GB UFS 3.0 (รุ่น 5G 256GB/512GB/1TB) รองรับ microSD Card สูงสุด 1TB พร้อมทั้งระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie ครอบทับด้วย One UI ระบบเสียง Dolby Atmos ลำโพงสเตอริโอ AKG ไมโครโฟน 3 ตัว (บน, ล่าง และด้านหลัง) แบตเตอรี่ 4,300mAh รองรับชาร์จเร็ว 45W (อะแดปเตอร์ 45W แยกจำหน่าย) ชาร์จไร้สาย 20W PowerShare 15W ถาดซิมการ์ดแบบ Hybrid slot การเชื่อมต่อ WiFi 6, Bluetooth 5.0, NFC มาตรฐานกันน้ำ กันฝุ่น IP68 ขายในไทย 3 สี ได้แก่ สีรุ้ง Aura Glow, สีขาว Aura White, สีดำ Aura Black

สำหรับรุ่นนี้นะคะ ออกมาโดยจะมีให้เลือก 2 ขนาด สำหรับ Note10 จะมีขนาดหน้าจอที่ 6.3 นิ้ว และ Note10+ จะมีขนาดหน้าจอที่ 6.8 นิ้ว ขนาดใหญ่กว่า Note9 รุ่นก่อนหน้าถึง 0.4 นิ้ว แต่ตัวเครื่องนั้นบางลงเหลือ 7.9 มิลลิเมตร จาก 8.8 มิลลิเมตร เป็นหน้าจอ Dynamic AMOLED ความละเอียด QHD+ รองรับ HDR10+ สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ Ultrasonic แบบเดียวกันกับ Galaxy S10 ซึ่งหน้าจอของ Note10+ นี้ ทาง DisplayMate ได้ให้คะแนนหน้าจอไว้ที่ A+ ถือเป็นหน้าจอสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดในตอนนี้

นอกจากตัวเครื่องจะบางลงแล้ว ยังตัดปุ่ม Power ที่อยู่ด้านขวาของตัวเครื่องออก ย้ายมาใช้งานร่วมกับปุ่ม Bixby โดยจะทำงานเป็นปุ่ม Power เป็นหลัก และสามารถตั้งค่าสำหรับใช้งานผู้ช่วย Bixby เพิ่มเติมกันได้ และน่าเสียดายที่รุ่นนี้ตัดช่องต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรออกไป แต่ก็ได้แบตเตอรี่เพิ่ม 100mAh

กาแลคซี่โน้ต ย่อมคู่กับปากกา S Pen มาในรุ่นนี้ก็ได้มีการปรับปรุงให้มีความสามารถมากขึ้น พร้อมกับฟีเจอร์การจด การเขียนต่างๆ ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนทำงานได้ทุกที่ทุกเวลามากขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นการแปลงข้อความที่เราจดใน Samsung Notes มาเป็นตัวอักษร ซึ่งสามารถก๊อปปี้ส่งต่อ หรือจะแปลงแล้ว export ออกมาเป็นไฟล์ MS Word หรือ PDF ก็ได้ จากที่เมื่อก่อนจะต้องมานั่งพิมพ์ใหม่ตามหลัง ใน Note10+ ก็แค่แปลง แล้วก็มีแก้ไขบางคำบางตัวอักษรที่ไม่สามารถอ่านลายมือของเราได้จริงๆ

Screen off memo ก็มีการเพิ่มสีให้เลือกใช้ถึง 5 สี โดยที่ไม่จำเป็นต้องเลือกสีของตัวเครื่องแล้ว สามารถครีเอทสร้างสรรค์ได้ตั้งแต่ยังไม่ปลดล็อคหน้าจอ ในส่วนความแม่นยำของการแปลงตัวเขียนมาเป็นตัวอักษรนั้น ยกให้มีความแม่นยำที่สูงมาก เพราะมีการผิดแค่ไม่กี่ตัวอักษรเท่านั้น และตัวที่ผิด ก็จะเป็นการเขียนที่ไม่ชัดเจน หากต้องการให้แปลงตัวอักษรง่ายขึ้น สระ วรรณยุกต์ และตัวอักษร จะต้องไม่ชิดติดกัน นอกจากนี้ยังสามารถใช้งาน S Pen ควบคุมการทำงานกล้องได้มากขึ้นกว่าการเป็นรีโมทชัตเตอร์ โดยทางซัมซุงได้ใส่เซ็นเซอร์ gyroscope เข้ามาเพื่อให้เราออกแอคชั่นต่างๆ ในการควบคุมการทำงานของโหมดกล้อง ซึ่งเรียกว่า Air actions

ในการถ่ายรูป ตัวกล้องยังมีฟีเจอร์ Shot suggestion เป็นการแนะนำการถ่ายรูปซึ่งจะช่วยให้องค์ประกอบของภาพดีขึ้น โดย AI Machine Learning เรียนรู้ภาพถ่ายมากกว่า 100,000,000 ภาพมาคอยแนะนำ ตรงนี้เหมาะมากสำหรับมือใหม่หัดถ่ายรูปซึ่งได้คอยเรียนรู้การจัดวางองค์ประกอบของภาพได้ และฟีเจอร์นี้ไม่จำเป็นต้องทำตามก็ได้ หรือเลือกปิดการใช้งานก็ได้เช่นกัน

เป็นสมาร์ทโฟนที่ปรับปรุงเพื่อไลฟ์สไตล์คนทำงานและไลฟ์สไตล์ความบันเทิงได้อย่างลงตัว ทำให้สามารถใช้ปากกาจดแล้วนำไปใช้งานต่อไปรวดเร็วขึ้น ไม่ต้องมาพิมพ์สรุปใหม่ภายหลัง ตัวกล้องก็ทำได้ดีขึ้นทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันแล้ว อีกทั้งยังตัดต่อวิดีโอในเครื่องได้ดีขึ้น รวมถึงลูกเล่นที่เกี่ยวข้องกับวิดีโอก็ทำได้มากขึ้นเช่นกัน หน้าจอใหญ่ สวย คมชัด ใช้งานแล้วสบายตา

เว็บไซต์สำหรับการสั่งซื้อสินค้า : Lazada

Samsung Galaxy S10 และ Samsung Galaxy S10+

สมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่นนี้ ถือว่าเป็นโทรศัพท์ Android ที่ดีที่สุด มีหน้าจอ Super AMOLED ที่ดีที่สุด พร้อมกล้องที่มีคุณภาพ มีช่องเก็บหูฟังแบบขยายได้ และมีการชาร์จแบบไร้สาย รวมไปถึงช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร

ขนาดตัวเครื่อง 149.9 x 70.4 x 7.8 มิลลิเมตร หน้าจอ Dynamic AMOLED หน้าจอแบบ Infinity-O ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1440 x 3040 พิกเซล อัตราส่วน 19:9 กระจก Gorilla Glass 6 ระบบสแกนนิ้วใต้หน้าจอ Ultrasonic Fingerprint Sensor (เทคโนโลยีการสแกน 3 มิติ) ชิปเช็ต Exynos 9820 แรม/พื้นที่จัดเก็บข้อมูล 8GB/128GB, 8GB/512GB

กล้องหลัง 3 เลนส์ ประกอบด้วย เลนส์หลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (รูรับแสง f/1.5, OIS, มุมกว้าง 77 องศา) +เลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล (รูรับแสง f/2.2, มุมกว้าง 123 องศา) + เลนส์ Telephoto 12 ล้านพิกเซล (รูรับแสง f/2.4, OIS, ซูม 2x, มุมกว้าง 45 องศา)

กล้องหน้า Selfie Camera ความละเอียด 10MP Dual Pixel AF รูรับแสง f/1.9 พร้อมระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie ครอบทับด้วย One UI และการเชื่อมต่อพอร์ต USB-C มีช่องต่อชุดหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร และระบบกันน้ำมาตรฐาน IP68 ค่ะ

แบตเตอรี : 3,400 mAh รองรับ Fast charging, Fast Wireless Charging 2.0 และเทคโนโลยี Wireless PowerShare

เรื่องดีไซน์กันก่อน หน้าจอมาเป็นแบบจอเจาะรู หรือที่เรียกว่า Infinity-O ซึ่งในคลิปเปิดตัวทางซัมซุงได้บอกไว้ว่าไม่อยากให้ซ้ำกับใคร (เทรนด์หน้าจอ Notch และ Rain drop) ก็เลยมีการนำหน้าจอแบบนี้มาใช้ ซึ่งทำให้เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่มีการใช้หน้าจอ AMOLED แบบเจาะรู

ทางด้านการแสดงผลของหน้าจอ เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่รองรับการแสดงผลด้วย HDR10+ และมีสีสมจริงที่เหมือนตาเห็นมากที่สุด (0.4 JNCD) มี Contrast 2,000,000 : 1 ความสว่าง 800 nits และที่ดีที่สุดก็คือมีระบบ AI ที่ลดแสงสีฟ้าลง 42% โดยที่ไม่ทำให้จอเหลือง ทำให้เรายังมองเห็นสีสันบนหน้าจอได้สมจริงมากที่สุด

การใช้หน้าจอแบบนี้ทำให้ลดขนาดตัวเครื่องลงมาได้ เพราะไม่ต้องมีขอบหน้าจอด้านบน มีความหนาเพียงแค่ 7.8 มิลลิเมตร น้ำหนักเบาขึ้นกว่าเดิม ใครที่ใช้ Galaxy Note 8, Note 9 หรือรุ่นก่อนหน้าอย่าง Galaxy S9+ มาจับจะรู้สึกได้ว่าเบากว่าเดิมมาก

ตัวฟิล์มกันรอยก็ติดมาให้เลย เหตุเพราะรุ่นนี้ได้เปลี่ยนการสแกนลายนิ้วมือมาไว้ใต้หน้าจอแสดงผลเป็นแบบ Ultrasonic Fingerprint Sensor ที่จะมีปัญหากับการใช้งานเมื่อติดฟิล์มกระจก ทางซัมซุงก็เลยทำการติดมาให้เลย เปิดกล่อง เปิดเครื่อง ก็ใช้งานได้ทันที ส่วนข้อดีก็คือสามารถสแกนลายนิ้วมือได้แม้นิ้วเปียกน้ำ การสแกนลายนิ้วมือแบบนี้จะเป็นการใช้คลื่นเสียงมาช่วยสแกนแบบ 3D ต่างจากเดิมที่เป็นแบบ 3D นอกจากนี้ยังช่วยเรื่องของความปลอดภัยเพราะไม่สามารถใช้ลายนิ้วมือปลอมมาสแกนได้

สีที่ได้มาเป็นสี Prism Black และ Prism White หลังจากช่วงที่ผ่านมาเรามักจะเจอสมาร์ทโฟนฝาหลังไล่เฉดสีสวยๆ แต่สำหรับ Galaxy S10+ และ Galaxy S10 นี้แตกต่างออกไป สี Prism White จะแสดงสีแตกต่างกันไปเมื่อมีแสงมาตกกระทบ ทำให้โดดเด่นและสวยงามมากขึ้น และขอบอะลูมิเนียมสีเงินช่วยทำให้ตัวเครื่องดูหรูหรามากขึ้น ส่วนสี Prism Black ก็เป็นสีดำสวยงามแบบเรียบๆ ใครที่ไม่อยากเหมือนใคร แนะนำสี Prim White และ Prism Green ส่วนถ้าอยากได้ให้ต่างออกไปอีกก็ต้องไปรุ่นพิเศษ Ceramic กันเลย

ถาดใส่ซิมการ์ดยังเป็นแบบไฮบริดจ์ ต้องเลือกว่าจะใช้ซิมการ์ดคู่กับเมมโมรี่การ์ดหรือจะใช้งาน 2 ซิม

จุดเด่นของรุ่นนี้คนชอบถ่ายรูปน่าจะชอบมากขึ้น กล้องหลังตัวใหม่ มีมา 3 เลนส์ แต่ละเลนส์ก็ทำหน้าที่แตกต่างกันไป เช่น อยากเก็บภาพมุมกว้างก็ใช้เลนส์ Ultrawide ที่ทำให้ได้ภาพมุมกว้างขึ้น อยากซูมเข้าไปก็ใช้เลนส์ Telephotos ที่ซูมได้ 2x แบบไม่เสียรายละเอียด แต่สิ่งที่ช่วยทำให้ถ่ายรูปได้สนุกขึ้นก็คือ ระบบ AI ที่ช่วยปรับภาพให้เข้ากับวัตถุที่เราถ่าย ซึ่งเรียกว่า Scene Optimizer ในรุ่นใหม่นี้มีการเพิ่มซีนเข้ามาอีก 10 ซีน เป็นทั้งหมด 30 ซีน

และยังมี Shot suggestion มีการแนะนำการถ่ายรูปซึ่งจะช่วยให้องค์ประกอบของภาพดีขึ้น ทำให้ภาพดูน่าสนใจมากขึ้น โดย AI Machine Learning เรียนรู้ภาพถ่ายมากกว่า 100,000,000 ภาพมาคอยแนะนำ ตรงนี้เหมาะมากสำหรับมือใหม่หัดถ่ายรูป พร้อมทั้งการรองรับระบบ BRIGHT NIGHT ถ่ายภาพกลางคืน ถือว่ากล้องของ Galaxy S10+ และ Galaxy S10 ทำได้ดี ไม่ผิดหวัง

เว็บไซต์สำหรับการสั่งซื้อสินค้า : lazada

Google Pixel 4 XL

ของดีของเด็ดจาก Google ตัวเครื่องจะมีให้เลือกทั้งหมด 3 สีด้วยกันคือ Just Black, Clearly White และ Oh So Orange ที่เป็นสีพิเศษสำหรับรุ่นนี้ โดยตัวเครื่องที่ใช้ในการพรีวิวครั้งนี้ก็คือ Pixel 4 สี Oh So Orange และ Pixel 4 XL สี Cleary White นั่นเอง จะเห็นว่ากล่องของทั้ง 2 รุ่นมีขนาดเท่ากันเป๊ะๆ จุดที่แตกต่างกันก็คือชื่อรุ่นและภาพตัวเครื่องที่อยู่บนกล่อง โดยในกล่องประกอบไปด้วยตัวเครื่อง, อะแดปเตอร์จ่ายไฟ 18W, สาย USB-C, หัวแปลง USB-A เป็น USB-C และคู่มือการใช้งานเบื้องต้น + เข็มจิ้มถาดซิม สำหรับอะแดปเตอร์จ่ายไฟ 18W ที่ให้มาก็จะจ่ายไฟ 5V/3A และ 9V/2A

ตัวเครื่องจะมาพร้อมกับ Android 10 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด และใช้ Qualcomm Snapdragon 855 ที่เป็น 64-bit Octa-core โดยมีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 2.84 GHz + 1.78 GHz ที่มาพร้อมกับ Qualcomm Adreno 640 ส่วน RAM ก็ให้มามากถึง 6GB และความจุสำหรับเก็บข้อมูลจะมีให้เลือกระหว่าง 64GB และ 128GB

สำหรับ Pixel 4 นั้นจะมีการดีไซน์ตัวเครื่องที่ต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด เพราะในรุ่นนี้ผิวของตัวเครื่องจะใช้วัสดุผิวด้าน (Matte) ทั้งหมด ไม่ได้เป็นผิวเงา (Glossy) บางส่วนเหมือนรุ่นก่อนๆ และด้านข้างตัวเครื่องใช้เป็นสีดำที่เป็นผิวด้านไม่ว่าตัวเครื่องจะเป็นสีใดก็ตาม

ปุ่มด้านล่างของตัวเครื่องเป็นช่องไมโครโฟน, USB-C 3.1 และช่องลำโพง (เรียงตามลำดับจากซ้ายไปขวา) ซึ่งก็แอบเสียใจเล็กน้อยที่รุ่นนี้ย้ายลำโพงมาอยู่ใต้เครื่องเหมือนกับ Pixel 3A แล้ว ส่วนช่องหูฟัง 3.5mm นั้น อย่าไปถามหาเลย ด้านข้างฝั่งซ้ายของตัวเครื่องจะมีช่องใส่ถาดซิมแบบ Nano SIM และรุ่นนี้ก็รองรับ e-SIM ได้เหมือนเดิมนะ ส่วนด้านข้างฝั่งขวาจะมีแค่ปุ่ม Power และ Volume เท่านั้น และสำหรับปุ่ม Power ถ้าเป็นเครื่องสี Just Black จะได้ปุ่มเป็นสีขาว ส่วนเครื่องสี Clearly White จะได้ปุ่มเป็นสีส้มแบบสีของตัวเครื่อง Oh So Orange ส่วนตัวเครื่องสี Oh So Orange จะได้ปุ่มที่มีสีอ่อนกว่าสีตัวเครื่องหน่อยนึง กล้องหน้า 8MP, Ambient Light Sensor, Proximity Sensor, ช่องลำโพง และ Radar Sensor สำหรับ Motion Sense กล้องหลังจะมี 2 ตัวด้วยกันคือเลนส์ปกติความละเอียด 12.2 MP รูรับแสง ƒ/1.7 และเลนส์เทเล 16 MP รูรับแสง ƒ/2.4 โดยกล้องหลังจะมีระบบกันสั่นและ Spectral + Flicker Sensor สำหรับแก้ปัญหาการถ่ายภาพหรือวีดีโอบนหน้าจอแล้วเห็นภาพเป็นเส้นๆ โดยตัวกล้องหลังจะรองรับการถ่ายวีดีโอได้ถึง 4K แต่ว่ายังคงอยู่ที่ 30fps เท่านั้น ส่วน 1080p นั้นเลือกได้เลยว่าจะเป็น 30fps, 60fps หรือ 120fps แบตเตอรี่ จะมีความจุ 2,800 mAh ส่วน Pixel 4 XL จะมีความจุ 3,700 mAh

เว็บไซต์สำหรับการสั่งซื้อสินค้า : Lazada

สุดยอดเรือธงแห่ง Oppo ซูมไกล 60 เท่า ละเอียดชัดแจ๋ว !!

มาดูกันว่าทำไมรุ่นนี้ถึงได้อันดับที่ 1 เป็นเพราะสเปคสุดล้ำของ Oppo นั่นเอง ที่งานนี้ออกมาเพื่อฆ่าคู่แข่งแบบเห็นได้ชัด หน้าจอขนาดกว้าง 6.6 นิ้ว แสดงผลแบบ AMOLED ที่ระดับ 16 ล้านสี ให้ภาพคมชัดขนาด HDR 10+ มาพร้อมหน่วยประมวลผล Snapdragon Octa Core ที่มีความเร็วสูงถึง 2.8 GHz รับรองว่าแรงหายห่วง เล่นเกมแบบไม่หน่วงเลยทีเดียว RAM 8GB ก็ช่วยให้การทำงานลื่นไหล แถม ROM 256 GB ก็มากพอสำหรับจะเก็บข้อมูลต่าง ๆ ได้มากมายด้วย แบตเตอรี่ขนาด 4,065 mAh พร้อมกล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล และโดดเด่นด้วยกล้องหลังที่ยืนหนึ่งในขณะนี้ก็ว่าได้ กับกล้องหลังระบบ Triple Camera ความละเอียด 48 + 13 + 8 ล้านพิกเซล ซึ่งมีทั้งเลนส์ไวด์ และเลนส์เทเล ทำให้ Reno 10X สามารถซูมได้ไกลถึง 60 เท่า !! แบบไม่เสียรายละเอียด แถมราคาก็ถือว่าเป็นมิตรดีมากครับ

Samsung Galaxy A51

Samsung Galaxy A51 คือรุ่นยอดฮิตของ Galaxy A Series ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้อย่างครบถ้วนในราคาที่สมเหตุสมผล โดยมากับหน้าจอ Super AMOLED สีสันสดใสขนาด 6.5 นิ้ว คมชัดระดับ FHD+ มีหัวใจการทำงานเป็นชิปเซ็ต Exynos 9611 พร้อม RAM 6GB + ROM 128GB และแบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh ที่รองรับระบบชาร์จไว 15W ไม่ว่าจะทำงานหรือเล่นเกมก็ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี สำหรับชุดกล้องเป็นกล้องหลัง 4 ตัว ความละเอียดสูงสุด 48 MP พร้อมเลนส์ Ultra Wide, Macro และ Depth ครบชุด และกล้องหน้าความละเอียดสูงถึง 32 MP ที่ถ่ายรูปสวยไม่แพ้สมาร์ทโฟนรุ่นอื่นในตลาดเลย

HUAWEI nova 7i

หากไม่จำเป็นต้องใช้บริการของ Google HUAWEI nova 7i เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าทีเดียว โดยมากับสเปกแรงครบเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ Punch FullView Display ขนาด 6.4 นิ้ว, ชิปเซ็ต Kirin 810, RAM 8GB ไปจนถึงแบตเตอรี่ความจุ 4200 mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 40W HUAWEI SuperCharge มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ด้านข้างตัวเครื่อง ด้านการถ่ายรูปโดดเด่นด้วยกล้องหลัง 4 ตัว ความละเอียดสูงสุด 48 ล้านพิกเซล แถมยังมาในเฉดสีสวยงามหวานละมุนอีกด้วย

realme XT (8+128)

realme XT เป็นอีกรุ่นหนึ่งที่ราคาลดลงมาจากตอนเปิดตัวมาก จากเดิม 10,999 บาท เหลือราคาเริ่มต้นราวๆ 6,900 บาท รุ่นนี้มีจุดเด่นอยู่ที่หน้าจอ Super AMOLED ที่สแกนนิ้วใต้จอได้ และชุดกล้องหลังจำนวน 4 ตัว (AI Quad Camera) ความละเอียดสูงสุด 64MP สเปกโดยรวมอยู่ในระดับกลางโดยมีชิปเซ็ต Snapdragon 712 AIE, RAM 8GB, ROM 128GB และ แบตเตอรี่ความจุ 4000mAh ที่รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบ VOOC Flash Charge 3.0

Write a Comment