กว่าจะเป็น “ซัมซุง กาแลคซี่” ในวันนี้
เมื่อกล่าวถึงวิวัฒนาการของโทรศัพท์มือถือแล้ว การพัฒนาผลิตภัณฑ์ของซัมซุงตลอดหลายปีที่ผ่านมา ล้วนถูกขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง นั่นก็คือการมุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่มีความหมายกับผู้คนมาโดยตลอด โดยซัมซุงได้ทลายกำแพงข้อจำกัดต่าง ๆ พร้อมสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับสมาร์ทโฟน และสิ่งที่สมาร์ทโฟนควรจะเป็น จากการที่ซัมซุงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยี สร้างมาตรฐานที่แตกต่าง และมอบโซลูชั่นที่สร้างสรรค์ สมาร์ทโฟนกาแลคซี่จากซัมซุง จึงกลายเป็นตัวช่วยที่ทำให้ผู้คนนับล้านสามารถลงมือสร้างความสำเร็จได้มากขึ้น
ในโอกาสพิเศษที่สมาร์ทโฟนรุ่นแฟลกชิปของซัมซุงเดินทางครบรอบ 10 ปี วันนี้บริษัทฯ จึงได้มองย้อนไปในอดีต ถึงเส้นทางการเดินทางของนวัตกรรมโทรศัพท์มือถือตลอดทศวรรษที่ผ่านมา อีกทั้งเป็นโอกาสอันดีที่กำหนดวิสัยทัศน์ในอีก 10 ปีข้างหน้า เพื่อรับมือกับความท้าทายและทลายทุกข้อจำกัดเหมือนที่ผ่านมา
ซัมซุงไม่เคยกลัวที่จะเปิดรับไอเดียใหม่ ๆ ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่หรือแหวกแนวขนาดไหน โดยก่อนที่สมาร์ทโฟนเครื่องแรกจะถูกนำออกสู่ตลาด ทีมวิศวกรในเมืองซูวอน ประเทศเกาหลีใต้ ไม่เคยหยุดคิดค้นทุกองค์ประกอบและความเป็นไปได้ในการสร้างสรรค์โทรศัพท์มือถือ ซึ่งในวันนี้ ความพยายามเหล่านั้นได้กลายเป็นตัวกำหนดทิศทางเทคโนโลยีของสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน
ตั้งแต่วันแรก ซัมซุงได้เล็งเห็นถึงความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือธรรมดาให้กลายเป็นอุปกรณ์สารพัดประโยชน์ สามารถใช้งานได้หลากหลาย โดยการเปิดตัวโทรศัพท์มือถือที่สามารถดูทีวีได้ในปี 2542 นั้นได้นำความบันเทิงมาสู่มือของผู้ใช้ ในขณะเดียวกันกล้องความละเอียด 10 ล้านพิกเซลบนโทรศัพท์ซัมซุง รุ่น B600 ได้สร้างนิยามใหม่ของภาพถ่ายคุณภาพสูงที่อยู่ในโทรศัพท์เครื่องเดียว
ความตั้งใจที่จะขยายขีดความสามารถของโทรศัพท์พกพานั้นนำไปสู่การคิดค้นโซลูชั่นที่สร้างสรรค์ของซัมซุง ดังเช่น หลายปีก่อนที่ “สมาร์ทวอทช์” จะกลายมาเป็นศัพท์ติดหูที่ทุกคนใช้งานกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ทีมคิดค้นนวัตกรรมของซัมซุงได้พัฒนาโทรศัพท์นาฬิกาขึ้นเมื่อปี 2542 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับผลิตภัณฑ์และตอบโจทย์ด้านการใช้งานได้ในทุกที่
นอกจากนี้ การปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน เปรียบเสมือนหัวใจสำคัญของของการพัฒนานวัตกรรมที่ซัมซุงยึดถือมาโดยตลอด ในปี 2545 ทางซัมซุงได้เปิดตัว True Color Phone ให้ทั้งโลกได้รู้จักกับจอแสดงผล LCD แบบ Active Matrix เป็นครั้งแรก นับเป็นการปูทางสำหรับนวัตกรรมจอแสดงผลบนมือถือ และโทรศัพท์มือถือกาแลคซี่
บทเรียนที่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ช่วงปีแรก ๆ ทำให้ซัมซุงก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของสมาร์ทโฟนได้ไม่ยาก แต่การเดินทางขึ้นไปสู่ตำแหน่งของผู้นำด้านสมาร์ทโฟนนั้นจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยปราศจากความร่วมมือกับพันธมิตรอย่างแอนดรอยในการผลักดันเทคโนโลยีมือถือให้ก้าวข้ามข้อจำกัดไปได้ ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าวนำมาสู่จุดกำเนิดของโทรศัพท์มือถือกาแลคซี่
ในเดือนมีนาคม ปี 2553 ซัมซุงได้ปล่อย กาแลคซี่ ตระกูลเอส รุ่นแรกออกมา โดยอัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุด ณ ขนาดนั้น ทั้งหน่วยประมวลผล GPU อันทรงพลัง หน้าจอ Super AMOLED ขนาด 4 นิ้ว และกล้องความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ส่งผลให้ กาแลคซี่ เอส กลายเป็นแม่แบบของโทรศัพท์มือถือในการเติมเต็มประสบการณ์การใช้งานเพื่อให้ผู้ใช้มีชีวิตที่ตอบโจทย์และสะดวกยิ่งขึ้น และจากการตอบรับอย่างล้นหลามของกาแลคซี่ เอส ทางซัมซุงจึงสานต่อความสำเร็จ ส่งกาแลคซี่ เอส 2 และเอส 3 ด้วยความตั้งใจที่จะมอบอุปกรณ์เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่ผู้ใช้ ทำให้ซัมซุงได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้บุกเบิกแห่งแวดวงอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนที่แท้จริง
หลายปีที่ผ่านมานี้ ซัมซุง กาแลคซี่ ได้สร้างปรากฎการณ์ใหม่อย่างต่อเนื่องผ่านการพัฒนาและขยายประสบการณ์การใช้โทรศัพท์มือถือกับทุกรุ่นที่ออกใหม่ ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนนั่นก็คือ เทคโนโลยีหน้าจอแบบ Edge Display หรือหน้าจอขอบโค้งบนสมาร์ทโฟนเป็นครั้งแรกของโลก อีกทั้งเทคโนโลยีหน้าจอ Infinity Display ที่สร้างปรากฏการหน้าจอแบบใหม่ที่ขยายพื้นที่จอแสดงผลทั้งสองด้านไปจนสุดขอบโทรศัพท์ ให้หน้าจอมีขนาดใหญ่ขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดของตัวเครื่อง ให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์จากหน้าจอแบบเต็มที่โดยไม่มีขอบมากวนใจ
ในปี 2554 กาแลคซี่ โน้ต ได้สร้างนิยามใหม่ของโทรศัพท์มือถือด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่าโทรศัพท์มือถือทั่วไป ด้วยพื้นที่หน้าจอที่เพิ่มมากขึ้น ผู้ใช้สามารถใช้โทรศัพท์เพื่อดูคอนเทนต์ ใช้งานหลายโปรแกรมในเวลาเดียวกัน และสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น พร้อมเปิดตัวปากกา S Pen เป็นครั้งแรก มอบประสบการณ์การใช้งานสมาร์ทโฟนด้วยวิธีที่แปลกใหม่ยิ่งขึ้น
นอกจากการพัฒนาตัวฮาร์ดแวร์แล้ว ระบบการใช้งานโดยรวม (Ecosystem) ของซัมซุงกาแลคซี่ ได้ถูกพัฒนาและเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกมิติ โดยมีจุดประสงค์เพื่อทำให้แนวคิดชีวิตที่เชื่อมต่อถึงกันเป็นเรื่องจริง นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชั่นต่าง ๆ บนสมาร์ทโฟนรุ่นแฟลกชิปที่ผู้ใช้มองหา ไม่ว่าจะเป็น Samsung Knox, Samsung Pay และบริการอื่น ๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วนที่ทำให้กลายเป็นกาแลคซี่ในวันนี้
ซัมซุงได้มอบบรรทัดฐานใหม่ของนวัตกรรมและสร้างความเปลี่ยนแปลงผ่านประสบการณ์การใช้สมาร์ทโฟนให้กับผู้บริโภคกว่าล้านคนทั่วโลก แต่แน่นอนว่า ซัมซุงจะไม่หยุดพัฒนาไว้แต่เพียงเท่านี้ เพราะทางบริษัทฯ ได้วางทิศทางในอนาคตของกาแลคซี่ไว้แล้ว และจะมุ่งคิดค้นเทคโนโลยีเพื่อความก้าวหน้าและสร้างนิยามใหม่ให้กับวงการโทรศัพท์มือถือต่อไป
โดยในงาน Samsung Developer Conference 2018 (SDC 18) ซัมซุงได้เผยโฉมนวัตกรรมจอพับได้ ที่เรียกว่า Infinity Flex Display ซึ่งถือเป็นการประกาศจุดเริ่มต้นของยุคแห่งสมาร์ทโฟนพับได้ นอกจากนี้ยังแนะนำการแสดงผล (Interface) รูปแบบใหม่ที่ช่วยลดความยุ่งยากและเพิ่มความคล่องตัวให้กับการใช้งานมากขึ้น ให้ผู้บริโภคได้ใช้งานโทรศัพท์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ซัมซุงไม่เพียงแค่เปลี่ยนรูปลักษณ์ของสมาร์ทโฟน แต่ยังเปลี่ยนวิธีในการเชื่อมต่ออีกด้วย โดยซัมซุงกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อขานรับการเชื่อมต่อแห่งอนาคตอย่างเทคโนโลยี 5G ซึ่งปัจจุบัน ซัมซุมมีสิทธิบัตรด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ 5G มากกว่าบริษัทอื่น ๆ และยังเป็นบริษัทแรกที่ได้รับการอนุมัติจาก FCC สำหรับอุปกรณ์เครือข่าย 5G โดยเทคโนโลยีของซัมซุงได้นำเครือข่าย 5G ไปสู่เกาหลีใต้ และด้วยความร่วมมือกับผู้ให้บริการเครือข่ายในสหรัฐอเมริกา ซัมซุงได้นำ 5G ไปยังสหรัฐอเมริกาแล้ว นอกจากนี้ ทางซัมซุงจะวางรากฐานเครือข่าย 5G ในมือของผู้บริโภคด้วยสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้อีกด้วย
ซัมซุงได้นำ “กาแลคซี่” ให้ทั้งโลกได้รู้จัก โดยนวัตกรรมแลนด์มาร์คนี้ ได้เปิดโลกแห่งความเป็นไปได้ให้กับผู้คนทั่วโลก และเป็นการส่งสัญญาณในฐานะผู้บุกเบิกเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ที่จะช่วยสร้างความมั่นใจและปลุกผู้ใช้ทุกคนให้ทำในสิ่งที่พวกเขาคิดว่าไม่สามารถทำได้
การเดินทางของสมาร์ทโฟนกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า ถึงแม้ซัมซุงเองจะยังเปิดเผยอะไรได้ไม่มากในตอนนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถยืนยันได้แน่นอนนั่นก็คือ ซัมซุงจะไม่หยุดพัฒนานวัตกรรมที่มีคุณค่าและความหมาย เพื่อช่วยให้ผู้คนได้ทำในสิ่งที่รักได้มากยิ่งขึ้น
Write a Comment