12 มือถือใหม่ น่าซื้อ น่าใช้ ประจำเดือนพฤษภาคม 2022
มัดรวมมาให้ 6 โทรศัพท์ราคาไม่เกิน 2,000 บาท น่าซื้อปี 2022 - Liv | dtac
การจะหาซื้อโทรศัพท์ราคาไม่เกิน 2,000 บาทในปัจจุบันก็ถือเป็นเรื่องไม่ง่ายแล้ว โดยเฉพาะโทรศัพท์ที่มีฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน ทั้งหน้าจอใหญ่ ใช้งานลื่นไม่สะดุด และโดยเฉพาะเป็นสมาร์ตโฟนที่รองรับ 5G ด้วยแล้วก็หาได้ไม่เยอะมากนัก แต่ในบทความนี้เราจะพามาดูโทรศัพท์ราคาไม่เกิน 2,000 บาทจากทาง DTAC มาดูกันว่าจะมีรุ่นไหน และแต่ละรุ่นสเปกเป็นอย่างไรบ้าง
เริ่มต้นเปิดมาด้วยโทรศัพท์ราคาไม่เกิน 2,000 บาทจากทางค่ายจีนอย่าง Realme C25 ซึ่งลูกค้า DTAC รายเดือนสามารถซื้อได้ในราคา 1,490 บาทเท่านั้น (ราคาเปิดตัว 5,499 บาท) จุดเด่นหลัก ๆ ของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้เลยก็คือ แบตเตอรี่ที่อึดเกินราคา เพราะให้แบตเตอรี่ขนาด 6,000mAh พร้อทด้วยสายชาร์จแบบชาร์จไวกว่า 18W ช่วยให้สามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน และมีการใส่โหมดช่วยประหยัดพลังงานอย่าง App Quick Freeze มาให้ รวมถึงหากแบตฯ ใกล้หมดยังมีโหมด Super Power Saving มาให้ แม้ว่าแบตฯจะเหลือเพียง 5% แต่สามารถโทรได้อีกกว่า 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว หรือจะฟัง Spotify ต่อได้อีก 5 ชั่วโมง
นอกจากนี้โทรศัพท์ราคาไม่เกิน 2,000 บาทเครื่องนี้ ยังใช้ชิปเซ็ตเกมมิ่งอย่าง Helio G70 พร้อม CPU octa-core ขนาด 12 นาโนเมตร ช่วยให้เล่นเกมแบบไม่สะดุด และลดความหน่วงในระหว่างเล่นได้ดีเยี่ยม นอกจากนี้งานดีไซน์หน้าจอกว้าง 6.5 นิ้ว เหลือขอบจอสีดำบาง ๆ โดยมีอัตราส่วนจออยู่ที่ 88.7% ส่วนกล้องหน้าเป็นหยดน้ำ ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และกล้องหลังทรงพลัง โดยมีเลนส์หลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รวมถึงเลนส์เสริมอย่างเลนส์มาโคร 2 ล้านพิกเซล และเลนส์ขาว-ดำอีก 2 ล้านพิกเซล เรียงตัวกันเป็นสีเหลี่ยมจตุรัสด้านหลังเครื่องโดยมีเลนส์กล้อง 3 ตัวและแฟลชอีก 1 ตัว นอกจากนี้คือมาพร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ฝาหลังอีกด้วย
มาต่อกันที่โทรศัพท์ราคาไม่เกิน 2,000 บาทจากค่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ดาวรุ่งอย่าง Xiaomi Redmi 10 เป็นสมาร์ตโฟนที่โดดเด่นเรื่องกล้องถ่ายรูปที่ติดมาให้ แม้ราคาเปิดตัวจะอยู่ที่ 4,999 บาท แต่ก็มีกล้องหลังมาให้ถึง 4 เลนส์ โดยเลนส์หลักความละเอียดทะลุไปถึง 50 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์ Ultra wide ช่วยถ่ายภาพมุมกล้างความละเอียด 8 ล้านพิกเซล นอกจากนี้ยังมีเลนส์มาโครและเลนส์ Depth มาให้อีกอย่างละ 2 ล้านพิกเซล ด้วยความที่เป็นกล้อง AI ทำให้รวดเร็วในการใช้งาน ช่วยให้เก็บทุกโมเมนต์ได้ครบครัน ในส่วนของแบตเตอรี่ที่ให้มาขนาด 5,000 mAh ให้มาพร้อมที่ชาร์จไว 18W ที่ใช้เวลาชาร์จเพียง 20-30 นาทีก็เต็มแล้ว
ในส่วนของการดีไซน์ตัวเครื่องหน้าจอขนาดความกว้างอยู่ที่ 6.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ FHD+ กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล โดยตำแหน่งของกล้องหน้าจะอยู่บริเวณตรงกลางเครื่อง ส่วนของสเปกความแรงตัวเครื่อง Redmi 10 มาพร้อง RAM 4GB และ ROM 64GB ใช้ชิปเซ็ตตัวใหม่จาก MediaTek อย่าง Helio G88 เล่นเกมได้ไม่ลื่นไหลไม่แพ้รุ่นอื่น ๆ พร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้านข้าง
สำหรับโทรศัพท์ราคาไม่เกิน 2,000 บาทจากค่าย VIVO เครื่องแรกกันบ้าง เป็นรุ่น VIVO Y33s ตัวเครื่องดีไซน์สีออกมาได้สวยเป็นสีดำเงินและสีฟ้าเหลือบส้ม นอกจากนี้ยังมีการเคลือบพื้นผิว AG และเคลือบคลิสตัลเหลว ให้ดูหรูและไม่เป็นรอยนิ้วมือง่าย ตัวเครื่องบางเพียง 8 มิลลิเมตร พร้อมน้ำหนักแค่ 182 กรัม กล้องหน้าจะอยู่บริเวณตรงกลาางเป็นทรงหยดน้ำ อัตราส่วนหน้าจอ 90.6% เรียกได้ว่าเหลือขอบดำเพียงน้อยนิด และหน้าจอยังกว้างสุด ๆ ขนาดถึง 6.85 นิ้ว ให้รายละเอียดชัดด้วยจอความละเอียดระดับ FHD+ พร้อมฟังก์ชันการปลดล็อกด้วยการสแกนใบหน้าได้อีกด้วย
ในส่วนของแบตเตอรี่ก็ใหญ่ไม่แพ้ขนาดหน้าจอ แบตฯ ขนาด 5,000 mAh พร้อมที่ชาร์จไวขนาด 18W และโหมดช่วยประหยัดแบตฯ ด้วยเทคโนโลยี VEG ส่วนของกล้องถ่ายภาพที่ใส่มาให้ กล้องหลังแบบ 3 เลนส์ โดยเลนส์หลักความละเอียด 50 ล้านาพิกเซล ช่วยให้ได้ภาพคมชัด นอกจากนี้ยังมีเลนส์มาโคร 2 ล้านพิกเซล และที่ไม่เหมือนใครคือเลนส์อัลกอริธึม Bokeh ช่วยให้พื้นหลังละลายอย่างเป็นธรรมชาติ ที่สำคัญกล้องหน้าความละเอียดสูงถึง 16 ล้านพิกเซล และช่วยลดนอยส์สำหรับถ่ายภาพกลางคืนได้ด้วยโหมด Super Night Selfie และสเปกความแรงของเครื่องก็ไม่น้อยหน้า มาพร้อม RAM 8GB และเพิ่มได้อีก 4GB หน่วยความจำในเครื่องอีก 128 GB ชิปเซ็ต Helio G80 ทั้งหมดนี้ลูกค้า DTAC ที่มีอายุการใช้งาน 12 เดือนขึ้นไป สามารถซื้อโทรศัพท์ราคาไม่เกิน 2,000 บาทเครื่องนี้ได้ในราคาเพียง 1,690 บาทเท่านั้น
มาถึงโทรศัพท์ราคาไม่เกิน 2,000 บาทและรองรับสัญญาณ 5G ที่หลายคนรอคอย กับ VIVO Y76 ทำให้ทุกการใช้งานสะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะส่งข้อความ ดูหนัง หรือเล่นเกม ที่สำคัญมาพร้อมที่ชาร์จไวถึง 44W และแบตเตอรี่ขนาด 4,100 mAh ทำให้ชาร์จไฟเต็มในไม่เกิน 30 นาที ในส่วนของการดีไซน์ตัวเครื่องบางกว่า VIVO Y33s เพราะบางเพียง 7.79 มิลลิเมตร น้ำหนัก 175 กรัม ขอบจอ 2.8 มิลลิเมตร และฝาหลังดีไซน์ 3D มีให้เลือก 2 สีคือสีฟ้าอ่อนและสีดำ มีการผสมกลิสเตอร์เพื่อให้ดูมีประกาย ขนาดจอ 6.58 นิ้ว นอกจากนี้การดีไซน์กล้องหลัง ยังได้หยิบยกเอารูปแบบของรุ่นเรือธงมาใช้ เป็นลักษณะของ CD Grooves เลนส์วางเรียงตัวในแนวยาวจากบนลงล่างพร้อมแฟลช
สำหรับสเปกกล้องถ่ายภาพ เป็นแบบ Triple camera เลนส์หลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล เลนส์ Bokeh และเลนส์มาโครความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล และช่วยให้ถ้ายภาพสวยยิ่งขึ้นด้วย AI Face beauty และ Smart Softlight Band ช่วยให้ภาพดูนวลยิ่งกว่าเดิม หน่วยประมวลผลของ VIVO Y76 ใช้เป็น Mediatek Dimensity 700 พร้อม RAM 8GB และ ROM 128GB ซึ่งลูกค้า DTAC แบบย้ายค่ายเบอร์เดิมสามารถซื้อได้ในราคา 1,690 บาท
มาถึงแบรนด์ OPPO กันบ้างกัยรุ่น OPPO A76 เป็นโทรศัพท์ราคาไม่เกิน 2,000 บาทที่แบตฯ อึด จอลื่นไหลไม่สะดุด โดยลูกค้าย้ายค่ายเบอร์เดิมของ DTAC สามารถซื้อได้ในราคา 1,490 บาท มาดูสเปกเครื่องกันเลย อย่างแรกเลยคือ แบตเตอรี่ของ OPPO A76 ขนาด 5,000 mAh แต่ก็มีที่ชาร์ตไวเทคโนโลยี SUPERVOOC ขนาด 33W มาให้ แม้แบตฯ ใหญ่แต่ชาร์จไวยิ่งขึ้น เพียงชาร์จแค่ 5 นาทีก็สามารถดูวิดีโอต่อได้ถึง 2 ชั่วโมง ในส่วนของสเปกจอเป็นจอ 90Hz แบบ Punch-Hole แสดงกราฟิกได้ลื่นไหล ไม่สะดุด ขนาดจออยู่ที่ 6.56 นิ้ว พร้อมระบบสแกนลายนิ้วมือข้างตัวเครื่อง
ส่วนสเปกความแรงของ OPPO A76 ใช้ชิปเซ็ต CPU Qualcomm Snapdragon 680 RAM 6 GB พร้อมเทคโนโลยี RAM expansion 6+5 สูงสุด 11GB ส่วนของหน่วยความจำ ROM 128GB แต่สามารถใส่ MicroSD เพิ่มได้สูงถึง 1TB สำหรับกล้องถ่ายรูป กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซลอยู่บริเวณด้านซ้ายบนของหน้าจอ ส่วนกล้องหลังแบบ 2 เลนส์ โดยเลนส์หลักความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ส่วนเลนส์เสริมความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
ปิดท้ายกันที่โทรศัพท์ราคาไม่เกิน 2,000 บาทจากค่ายดังอย่าง Samsung Galaxy A23 LTE โดยลูกค้า DTAC แบบย้ายค่ายเบอร์เดิมสามารถซื้อได้ในราคา 1,790 บาท ความน่าสนใจของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้คือ หน้าจอ TFT V-Cut Display ขนาด 6.6 นิ้ว หน้าจอกว้าง ทำให้สามารถดูวิดีโอหรือจะเล่นเกมก็เต็มตา และความละเอียดหน้าจอระดับ FHD+ พร้อมรีเฟลชเรต 90Hz การออกแบบตัวเครื่องก็มีความเรียบง่าย แต่ดูดีด้วยโค้งเว้าสวยงามตามแบบคอนเซ็ปต์ Ambient Edge กล้องหน้าและกล้องหลังดูกลมกลืนไปกับตัวเครื่องอย่างลงตัว
มาที่สเปกกล้องถ่ายรูปที่ใส่มาให้ กล้องหลังเป็นกล้องแบบสี่เลนส์ โดยเลนส์หลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล เลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล และยังมีอีก 2 เลนส์ที่ความละเอียด 2 ล้านพิกเซลคือ เลนส์ Depth และเลนส์ Macro แถมยังมีกันสั่น OIS ช่วยให้คุณภาพของวิดีโอที่ถ่ายออกมาดูดียิ่งขึ้น ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล นอกจากนี้ขนาดของแบตเตอรี่ที่ใส่มาให้คือ 5,000 mAh ซึ่งทาง Samsung ระบุว่าสามารถอยู่ได้ถึง 2 วันเลยทีเดียว ส่วนสเปกความแรงใช้ชิปเซ็ต Octa-core RAM 6GB และ ROM 128GB รวมถึงสามารถเพิ่ม MicroSD Card ได้ถึง 1TB อีกหนึ่งฟังก์ชันเด่นของ Samsung Galaxy A23 LTE คือระบบเสียงแบบ Dolby Atmos ทำให้ฟังเพลงหรือดูหนังแบบได้อรรถรสมากยิ่งขึ้น
ทั้งหมดนี้ก็ถือได้ว่าเป็น 6 รุ่นโทรศัพท์ราคาไม่เกิน 2,000 บาท ที่มีมาให้เลือกจากหลากหลายค่ายสมาร์ตโฟนยอดฮิต ที่จัดเต็มทั้งเรื่องระบบประมวลผล ความเร็วของ Touch Screen และที่ขาดไม่ได้คืออบตเตอรี่สุดอึด ชาร์จไว และระบบกล้องที่ความละเอียดสูง เหมาะกับการเลือกนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งการดูหนัง ฟังเพลง เล่นโซเชียล หรือจะเป็นการเล่นเกมสนุก ๆ ก็ไม่กระตุกให้หงุดหงิดใจ ใครชอบรุ่นไหนค่ายไหนก็สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในเว็บไซต์ของ DTAC
แนะนำ 15 มือถือกันน้ำวิ่งรับงานได้ไม่กลัวฝน ราคาตั้งแต่ 5,000 บาท จนถึงระดับเรือธง มีรุ่นไหนน่าใช้บ้าง (ต้นปี 2021)
เข้าสู่ช่วงเดือนเมษายนแบบนี้ นอกจากอากาศที่ร้อนตับแล่บแล้ว หลาย ๆ คนก็ต้องนึกถึงเทศกาลชุ่มฉ่ำอย่างสงกรานต์กันแน่นอน ซึ่งเทศกาลนี้แหละที่ทำเอามือถือพังกันไปหลายเครื่องแล้ว ด้วยความที่อาจจะไม่รู้ว่ามือถือที่ใช้อยู่ไม่มี IP Rating หรือเกิดจากซองกันน้ำรั่วก็ได้ และถึงแม้ว่าปีนี้จะต้องงดกิจกรรมสงกรานต์เด็ดขาด (T-T) เพราะวิกฤติ COVID-19 แต่อย่างน้อยหากมือถือที่เราใช้ ได้รับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นด้วย มันก็ยังอุ่นใจได้บ้างแหละ ว่าอย่างน้อยถ้าเจอฝนตกก็ไม่กลัวพัง (อันนี้จะเหมาะมากกับเหล่าไรเดอร์รับงานช่วงหน้าฝน)…วันนี้เราก็เลยขอแนะนำมือถือกันน้ำรุ่นใหม่ ๆ ที่วางจำหน่ายในบ้านเรามาให้ได้เป็นตัวเลือกกันครับ
สำหรับมือถือกันน้ำหลาย ๆ รุ่นที่เราจะแนะนำในวันนี้ ก็จะมีตั้งแต่รุ่นที่สามารถกันน้ำตั้งแต่ระดับละอองน้ำ ฝนตก ไปจนถึงระดับสูงสุด IP68 ที่เอาลงน้ำจืดลึก 1.5 เมตร ได้เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ซึ่งก่อนจะตัดสินใจซื้อก็ต้องดูให้ดี ๆ ด้วยนะครับ ว่าแต่ละกันน้ำได้มากน้อยแค่ไหน แต่ที่แน่ ๆ คือสามารถกันฝนได้แน่นอน เหมาะกับเหล่าไรเดอร์ทั้งหลายที่อาจต้องขี่รถตากฝนเพื่อส่งของกันได้แบบไม่กลัวพังด้วยครับ
โดยมือถือกันน้ำตามรายชื่อด้านล่าง เราได้แบ่งออกเป็น 3 ช่วงราคา มีตั้งแต่ช่วง 5,000 – 9,999 บาท ช่วง 10,000 – 19,999 บาท และระดับไฮเอนด์ที่มีราคา 20,000 บาทขึ้นไปครับ
สำหรับมือถือในช่วงราคานี้ จะมีอยู่ไม่กี่รุ่นที่ได้รับมาตรฐาน IP Rating ซึ่งรุ่นที่รองรับแม้จะเป็น Rating ที่ไม่สูงจนเอาไปแช่น้ำได้ แต่ก็สามารถกันน้ำฉีดใส่ หรือกันฝนตกสบาย ๆ ครับ
Redmi Note 10 และ Note 10 Pro ที่พึ่งวางจำหน่ายในบ้านเราไปได้ไม่นาน นับว่าเป็นมือถือในช่วงราคาเริ่มต้นราว 5,000 จนถึง 9,000 บาท ที่มีสเปคน่าสนใจ และคุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแบบ AMOLED ความละเอียด FHD+, รีเฟรชเรท 120Hz (รุ่น Pro), กล้องหลังสูงสุดถึง 108MP (รุ่น Pro), ลำโพงสเตอรีโอคู่, แบตอึด ๆ ถึง 5000 mAh และได้รับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นที่ระดับ IP53 เรียกว่าเป็นหนึ่งในมือถือรุ่นที่คุ้มจริง ๆ ครับ
POCO X3 Pro เปิดราคาในบ้านเราไปเมื่อไม่นานนี้ เริ่มต้นที่ 6,999 บาท เท่านั้น แต่ได้มือถือสเปคครบ ๆ ด้วยจุดเด่นที่หน้าจอ LCD ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด FHD+, รีเฟรชเรท 120Hz, ชิปแรง ๆ อย่าง Snapdragon 860, กล้องหลัง 4 ตัว 48MP, ลำโพงสเตอรีโอคู่ พร้อมแบตเตอรี่ 5160 mAh ที่มากับชาร์จไว 33W และยังกันน้ำกันฝุ่น IP53 อีกด้วย
มือถือรุ่นนี้ก็พึ่งวางจำหน่ายในบ้านเราไปไม่นานด้วยราคาเพียง 5,999 บาท เท่านั้น แต่สเปคต่าง ๆ เรียกได้ว่าใช้งานทั่วไปได้สบาย ทั้งหน้าจอ LCD ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด HD+ รีเฟรชเรท 90Hz, กล้องหลัง 4 ตัว 64MP, ชิป Snapdragon 662, แบตเตอรี่ถึก ๆ ถึง 5000 mAh และมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP52 ที่แม้จะน้อยกว่ารุ่นบน ๆ แต่ก็สามารถกันละอองน้ำหรือกันฝนได้สบาย
สำหรับมือถือในช่วงนี้จะเริ่มได้มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นที่ดีขึ้นมาอีกขั้นที่ระดับ IP67 ซึ่งสามารถเอาลงไปจุ่มในน้ำจืดลึก 1 เมตร ส่วน IP68 จะลงได้ 1.5 เมตร เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง (ตามที่มาตรฐานเคลมเอาไว้) แน่นอนว่าจะโดนน้ำสาด น้ำฉีด น้ำหกใส่ ฝนตกหนัก หรือจะทำตกแอ่งน้ำ ก็ไม่ใช่ปัญหาครับ
เอาใจชาวอารยธรรมด้วย Xperia 10 II (เท็น มาร์ค ทู) ที่วางขายในบ้านเราไปเมื่อช่วงกลางปีที่แล้ว มากับจุดเด่นหน้าจอ Triluminos (แบบเดียวกับทีวี Bravia) OLED ขนาด 6.0 นิ้ว FHD+ อัตราส่วน 21:9 ครอบด้วย Gorilla Glass 6, ชิป Snapdragon 665, กล้องหลัง 3 ตัว ความละเอียดสูงสุด 12MP และมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP65/68 ซึ่งเป็นมาตรฐานสูงสุดของมือถือแล้ว…รวม ๆ สเปคของมือถือรุ่นนี้อาจไม่มีอะไรโดดเด่นมากนัก แต่ถ้าใครที่เคยใช้มือถือตระกูล Xperia มาก่อน จะรู้ว่ามันเป็นมือถือที่มีการใช้งานโดยรวมที่ค่อนข้างเสถียรเลยล่ะ
มือถือสุดฮอตที่พึ่งเปิดตัวไปตอนกลางเดือนมีนาคม มากับสเปคครบเครื่องใช้งานได้อีกยาวทั้งหน้าจอ sMOLED, รีเฟรชเรทสูง 90Hz (A52) และ 120Hz (A52 5G), ลำโพงคู่ปรับแต่งเสียงโดย AKG พร้อมระบบ Dolby Atmos และรูหูฟัง 3.5 มม., กล้องหลัง 4 ตัว 64MP ที่มีระบบกันสั่น OIS มาให้ด้วย, แบตเตอรี่ 4500 mAh ที่ Samsung เคลมว่าใช้งานได้ถึง 2 วัน และมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP67
ต่อด้วยรุ่นพี่ที่เปิดตัวมาพร้อม ๆ กันอย่าง Galaxy A72 ที่มีสเปคเกือบจะคล้ายกับรุ่น A52 แต่จะได้กล้อง Telephoto ความละเอียด 8MP มาแทนกล้องมาโคร และแบตเตอรี่อึดกว่านิดหน่อยเป็น 5000 mAh แน่นอนว่ามากับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นเท่ากันที่ IP67 ด้วย
นับว่าเป็นมือถือรุ่นนึงที่น่าสนใจมาก ๆ เลยสำหรับ Galaxy S20 FE ซึ่งตอนนี้สามารถหาได้ในราคาไม่ถึง 20,000 บาทแล้ว ถึงจะเปิดตัวไปเมื่อช่วงก่อนปลายปี 2020 แต่สเปค+ฟีเจอร์ยังใช้งานได้สบายแฮ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ sAMOLED ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด FHD+ รีเฟรชเรท 120Hz, กล้องหลัง 3 ตัว 12MP พร้อมกันสั่น OIS, ซูมสูงสุด 30x และโหมดถ่ายภาพเจ๋ง ๆ อีกตรึม, ลำโพงคู่ แถมยังรองรับโหมด DeX ไร้สายอีกต่างหาก และแน่นอนว่ามากับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นถึง IP68 อีกด้วย
มือถือที่มีราคาระดับ 20,000 บาทขึ้นไป เรียกว่าเป็นมือถือในช่วงราคาระดับไฮเอนด์จนไปถึงระดับเรือธงระดับพรีเมี่ยมแล้ว ซึ่งรุ่นที่มีมาตรฐานกันน้ำก็มักจะให้มาที่ระดับสูงสุด IP68 กันหมดแล้ว…แต่ถึงจะกันน้ำ (จืด) ได้ที่ความลึก 1.5 เมตร แต่ก็ไม่แนะนำให้เอาไปใช้งานใต้น้ำอยู่ดีนะครับ เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าตัวกันน้ำเข้าเครื่องจะเสื่อมหรือมีปัญหารึเปล่า
เปิดตัวไปช่วงปลายปี 2020 แต่ก็ยังน่าใช้สุด ๆ ด้วยสเปคแรงระดับไฮเอนด์ และกล้องงาม ๆ แถมยังมีฟีเจอร์สารพัดประโยชน์อย่าง S Pen เอาไว้ขีดเขียน แต่งภาพ หรือจะใช้จดงานก็ไม่มีปัญหา ซึ่งนอกจากตัวมือถือจะกันน้ำแล้ว ตัวปากกา S Pen เองก็ยังกันน้ำด้วยเหมือนกันนะ
มือถือซีรีส์เรือธงที่พึ่งเปิดตัวไปไม่นานและยังคงจัดหนักจัดเต็มในด้านสเปค+ฟีเจอร์อีกเช่นเคย โดยซีรีส์นี้มาด้วยกัน 3 รุ่น คือ Galaxy S21, S21+ และ S21 Ultra แต่ละรุ่นก็ได้รับมาตรฐาน IP68 กันทั้งนั้นเลยครับ นอกจากนี้ยังมีคนทดสอบเอา Galaxy S21 ไปไว้ในตู้ปลาแล้วเปิดไลฟ์ผ่าน YouTube ได้ยาว ๆ ถึง 12 วัน
มือถือซีรีส์ยอดฮิตที่มีถึง 4 รุ่น พร้อมสเปคแรง ๆ และ OS ลื่น ๆ กับกล้องงาม ๆ เรียกว่าครบเครื่องเลยล่ะ แถมยังมากับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 ที่ Apple เคลมว่าสามารถเอาลงน้ำจืดได้ลึกถึง 6 เมตร
เปิดตัวไปตั้งแต่ต้นปี 2020 แต่พึ่งวางขายบ้านเราเมื่อเดือนกันยายน 2020 มาพร้อมจุดเด่นกล้องหลังที่พัฒนาร่วมกับ ZEISS และฟีเจอร์ Eye Autofocus สุดล้ำสำหรับจับโฟกัสที่ดวงตาของทั้งคนและสัตว์ได้ แถมยังล้ำสุด ๆ ด้วยฟีเจอร์ที่เปลี่ยนร่างมือถือรุ่นนี้ให้กลายเป็นมอนิเตอร์สำหรับกล้องตระกูล Alpha ได้อีก
มือถือเรือธงกล้องหลังระดับเทพที่มากับเซนเซอร์ IMX766 คู่ความละเอียด 50MP และฟีเจอร์เด่นไม่เหมือนใครด้วยกล้องไมโครเลนส์กำลังขยาย 60x ใช้ถ่ายภาพแบบกล้องจุลทัศน์เห็นชัดไปยังฝุ่นเลยทีเดียว
ถึงแม้ว่า OnePlus 9 Pro จะเข้ามาขายไม่ทันช่วงสงกรานต์ แต่อย่างน้อยมันก็ผ่านการรับรองจาก กสทช. เรียบร้อยแล้ว สำหรับมือถือเรือธงที่คราวนี้ไปจับมือกับค่าย Hasselblad เพื่อช่วยกันพัฒนากล้องให้เทพไปกว่ารุ่นที่ผ่าน ๆ มา และยังรองรับ IP68 อีกด้วย
อีกหนึ่งเรือธงที่พึ่งเปิดตัวไป และยังไม่วางขายในบ้านเราแต่มีชื่อผ่าน กสทช. เรียบร้อย มากับสเปคแบบจัดหนักจัดเต็มทั้งหน้าจอเล็กด้านหลังใช้สำหรับแสดง Notification หรือใช้เป็นจอไว้ถ่ายเซลฟี่ก็ได้ รวมถึงยังมีกล้องหลังเทพจัด ๆ จนขึ้นไปอยู่อันดับ 1 บนเว็บ DxOMark แถมยังเป็นรุ่นแรกของ Xiaomi ที่ได้รับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 อีกด้วยนะ
และทั้งหมดนั่นก็คือมือถือที่ได้รับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP Rating ในระดับที่สามารถพกเอาไปเล่นสงกรานต์ หรือตากฝนได้แบบไม่กลัวพัง แต่สำหรับรุ่นที่ได้รับมาตรฐาน IP67 – 68 ขึ้นไปซึ่งตามสเปคระบุว่าลงน้ำจืดได้ 1 – 1.5 เมตร แนะนำว่ายังไงก็ไม่ควรเสี่ยงเอาลงไปเล่นในน้ำนะครับ เพราะมือถือทุกรุ่นแม้จะเคลมว่ากันน้ำได้เท่านั้นเท่านี้ แต่หากเครื่องมีปัญหาเพราะความชื้นหรือน้ำเข้าเมื่อไหร่ ประกันจะไม่ครอบคลุมถึงส่วนนั้นนะครับ
12 มือถือใหม่ น่าซื้อ น่าใช้ ประจำเดือนพฤษภาคม 2022
แนะนำ 12 มือถือใหม่ น่าใช้ หลากหลายรุ่น ประจำเดือนพฤษภาคม 2022 สำหรับใครที่กำลังมองหารุ่นที่ถูกใจ วันนี้ทีมงานรวบรวมมาให้แล้ว มีตั้งแต่น้องเล็กสเปคสุดค้มในราคาหลักพัน ไปถึงจนถึงเรือธงสเปคจัดเต็มในราคาหลักหมื่น
ในปีพฤษภาคม 2022 มีมือถือ Android หลากหลายรุ่นเปิดตัวมาให้เราเลือกกันเยอะมากๆ และมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้การใช้งานดีขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะรุ่นเรือธงหรือแฟล็กชิป และอีกหลายรุ่น โดยแฟนๆ Apple ที่กำลังมองหา iPhone ที่ดีที่สุดและเหมาะกับการใช้งาน สามารถดูวิธีเลือก iPhone 2022 ได้ที่นี่
มือถือใหม่ น่าใช้ ในเดือนพฤษภาคม 2022
สำหรับแฟนๆ Samsung รุ่นใหม่ในเดือนนี้ก็ต้องเป็น Galaxy A73 5G เป็นรุ่นที่มาหน้าจอขนาดใหญ่ 6.7 นิ้ว 120Hz และอีกรุ่นสำหรับคนชอบความคุ้มค่าก็คือ Galaxy M33 5G จอใหญ่ 6.6 นิ้ว พร้อมชิปใหม่ Exynos 1280 แบตอึด 5000mAh และกล้องหลัก 50MP
ทานด้าน vivo ก็ได้เปิดตัว vivo T-series น้องเล็กสเปคแรงสุดคุ้มค่า ได้แก่ vivo T1x ที่มาพร้อมชิปเซ็ต Snapdragon 680 และ T1 5G ที่มาพร้อมชิปเซ็ต Snapdragon 778G 5G แถมได้ความจุแบตเตอรี่ 4700mAh ชาร์จเร็ว 66W
POCO เดือนนี้ก็ได้เปิดตัวรุ่นแฟล็กชิป POCO F4 GT 5G เอาในสายเกมมิ่งด้วยฟีเจอร์จัดเต็มสุดๆ ชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen 1 พร้อมจอ AMOLED ขนาดใหญ่เต็มตา 6.67 นิ้ว ลื่นไหล 120Hz และฟังก์ชันอื่นๆ อีกเพียบ
สำหรับใครที่รอคอยที่สุดของดีไซน์พรีเมียมก็ต้องเป็นรุ่น OPPO Find X5 Pro 5G แฟล็กชิปรุ่นล่าสุดจาก OPPO ที่เขายกให้เป็นแฟล็กชิพที่ถ่ายวิดีโอกลางคืนได้ดีที่สุดด้วย 4K Ultra Night Video ขับเคลื่อนโดย MariSilicon X และการร่วมมือกับ Hasselblad แบรนด์กล้องระดับตำนานอีกด้วย
OnePlus ก็ไม่น้อยหน้าด้วยการเปิดตัว OnePlus 10 Pro 5G ในไทยเช่นกัน มาพร้อมกล้องที่ร่วมพัฒนากับ Hasselblad ภายใต้สโลแกน ‘Capture Every Horizon’ ออกไปค้นหามุมมองที่แตกต่าง ใช้ชีวิตให้เต็มที่ สัมผัสประสบการณ์ที่แปลกใหม่และร่วมเก็บบันทึกทุกเส้นขอบฟ้าไปด้วยกัน
แฟนๆ realme ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนสุดคุ้มค่าและจับต้องกันได้ง่ายมากขึ้น ต้องไม่พลาดกับรุ่น realme 9 4G สมาร์ทโฟนกล้องคมชัดสูงสุด 108MP ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 680 และแบตใหญ่ ชาร์จไว 33W Dart Charge
มือถือใหม่ วางขายในไทย เดือนพฤษภาคม 2022
POCO F4 GT 5G
POCO F4 GT ถือเป็นหนึ่งในรุ่นที่เกิดมาเพื่อเกมเมอร์โดยเฉพาะ ทำให้ดีไซน์รุ่นนี้ทำได้สวยงาม ดูเท่ และคลาสสิกไปในตัว มีการเล่นแสงสะท้อนตรงลวดลายเล็กน้อย ทั้งนี้ ฝาหลังยังมีความโค้งในเพื่อให้ถือได้อย่างสบายมือเวลาเล่นเกมนานๆ
หน้าจอ: 6.67 นิ้ว ความละเอียด 2400 x 1080 พิกเซล, AMOLED, พันล้านสี, 120Hz, HDR10+
ระบบปฏิบัติการ: Android 12 ครอบทับด้วย MIUI 13
หน่วยประมวลผล: Snapdragon 8 Gen 1
GPU: Adreno 730
RAM: 8GB, 12GB
ความจุเครื่อง: 128GB, 256GB
กล้องหลัง 3 ตัว: เลนส์หลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.9 เลนส์ Ultra-wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 เลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
กล้องหน้า: 20 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
การเชื่อมต่อ: Wi-Fi, Bluetooth, NFC และพอร์ต USB Type-C
แบตเตอรี่: 4700mAh รองรับชาร์จเร็ว 120W
vivo T1x
vivo T1x มีหน้าจอความคมชัด FHD+ รองรับรีเฟรชเรท 90Hz ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 680 และระบบ Multi-Turbo 5.0 ทำความเย็น 4 ด้าน ได้แก่ แผ่นทำความเย็นกราไฟท์ ฟอยล์ทองแดงการนำความร้อนสูง เจลนำความร้อน ระบบจัดการระบายความร้อนอัจฉริยะของ Cooling Turbo
หน้าจอ: 6.58 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 2408 พิกเซล, IPS LCD, 90Hz
ระบบปฏิบัติการ: Android ครอบทับด้วย Funtouch OS 12
หน่วยประมวลผล: Snapdragon 680 4G
GPU: Adreno 610
RAM: 4GB, 8GB
ความจุเครื่อง: 64GB, 128GB
กล้องหลัง 3 ตัว: เลนส์หลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8 เลนส์ Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 เลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
กล้องหน้า: 8 ล้านพิกเซล f/1.8
การเชื่อมต่อ: Wi-Fi, Bluetooth และพอร์ต USB Type-C
แบตเตอรี่: 5000mAh รองรับชาร์จเร็ว 18W
vivo T1 5G
vivo T1 5G มาพร้อมชิปเซ็ต Snapdragon 778G 5G แบตเตอรี่ชาร์จเร็ว 66W FlashCharge และหน้าจอแสดงผลขนาด 6.44 นิ้ว 90Hz AMOLED Halo Fullview Display แถมมีระบบระบายความร้อนแบบ Vapor Chamber Cooling System เพื่อประสบการณ์เล่นเกมแบบเทอร์โบ
หน้าจอ: 6.44 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 2404 พิกเซล, AMOLED, 90Hz
ระบบปฏิบัติการ: Android ครอบทับด้วย Funtouch OS 12
หน่วยประมวลผล: Snapdragon 778G
GPU: Adreno 642L
RAM: 8GB
ความจุเครื่อง: 128GB
กล้องหลัง 3 ตัว: เลนส์หลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8 เลนส์ Ultra-wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 เลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
กล้องหน้า: 16 ล้านพิกเซล f/2.0
การเชื่อมต่อ: Wi-Fi, Bluetooth และพอร์ต USB Type-C
แบตเตอรี่: 4700mAh รองรับชาร์จเร็ว 66W
vivo Y33T
vivo Y33T ก็ถือเป็นสมาร์mโฟนน้องใหม่ที่คุ้มค่ามาก ๆ อีกรุ่น ด้วยสเปคที่ครบเครื่อง ทั้งหน้าจอ 6.58 นิ้ว refresh rate 90Hz, ชิปเซ็ต Snapdragon 680, ความจุเยอะ 8GB + 128GB, แบตเตอรี่ 5000mAh พร้อมชาร์จไว 18W, มีกล้องหลัง 3 ตัวความละเอียดสูงสุด 50MP อีก เรียกว่าแค่นี้ก็น่าจะตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการสมาร์ตโฟนในงบไม่ถึง 8,000 บาทแล้ว
หน้าจอ: 6.58 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 2408 พิกเซล, IPS LCD, 90Hz
ระบบปฏิบัติการ: Android 11 ครอบทับด้วย Funtouch OS 12
หน่วยประมวลผล: Snapdragon 680 4G
GPU: Adreno 610
RAM: 8GB
ความจุเครื่อง: 128GB
กล้องหลัง 3 ตัว: เลนส์หลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8 เลนส์ Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 เลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
กล้องหน้า: 16 ล้านพิกเซล f/2.0
การเชื่อมต่อ: Wi-Fi, Bluetooth และพอร์ต USB Type-C
แบตเตอรี่: 5000mAh รองรับชาร์จเร็ว 18W
realme 9 4G
realme 9 4G สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกล้องที่สว่างสดใสขึ้นด้วยเซ็นเซอร์ Samsung ISOCELL HM6 ความละเอียด 108MP ที่เป็นการรวม 9 พิกเซลเป็นหนึ่งเดียว สามารถเพิ่มปริมาณแสงได้มากถึง 123% เมื่อเปรียบเทียบกับเซ็นเซอร์รับภาพรุ่นเก่าอย่าง ISOCELL HM2
หน้าจอแสดงผล: 6.4 นิ้ว Super AMOLED, 90Hz ความละเอียด 1080 x 2400 พิกเซล
ระบบปฏิบัติการ: Android 12 ครอบทับด้วย realme UI 3.0
หน่วยประมวลผล: Qualcomm Snapdragon 680 4G
GPU: Adreno 610
RAM: 6GB, 8GB
ความจุเครื่อง: 128GB
microSD card: รองรับ
กล้องหลัง 3 ตัว: เลนส์หลักความละเอียด 108 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8 เลนส์ Ultra-wide ความละเอียด – ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 เลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
กล้องหน้า: 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.5
การเชื่อมต่อ: Wi-Fi, Bluetooth และพอร์ต USB Type-C
แบตเตอรี่: 5000mAh รองรับชาร์จเร็ว 33W
realme 9 Pro+ Free Fire Limited Edition
realme 9 Pro+ Free Fire Limited Edition สมาร์ทโฟนรุ่นพิเศษที่เกิดจากความร่วมมือกันระหว่าง realme และเกมยอดฮิตอย่าง Free Fire พร้อมสโลแกนสุดเท่อย่าง “Dare to BOOYAH!” ซึ่งความพิเศษของรุ่นนี้มีมากมายตั้งแต่แพ็กเกจ ดีไซน์ตัวเครื่องและซอฟต์แวร์ภายในอีกด้วย
หน้าจอ : Super AMOLED Display 6.4″ ความละเอียด FHD+ (2400 x 1080 พิกเซล)
refresh rate : 90Hz, Touch sampling rate 360Hz
ระบบปฏิบัติการ Android 12 ครอบทับด้วย realme UI 3.0
CPU : MediaTek Dimensity 920 5G Octa-core 2.5GHz (6nm)
GPU : ARM Mali-G68
RAM : 8GB
ความจุเครื่อง : 128GB
กล้องหน้า : In-display Selfie 16MP f/2.4
กล้องหลัง : 3 ตัว 50MP กล้องหลักเซ็นเซอร์ Sony IMX 766 f/1.8 พร้อมระบบกันสั่น OIS+EIS 8MP กล้อง Ultra Wide Angle f/2.2 มุมกว้าง 119º 2MP กล้อง Macro f/2.4 ระยะโฟกัส 4 ซม.
รองรับการใช้งานเครือข่าย 5G+5G Dual Mode
รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax (Wi-Fi 6), Bluetooth 5.2 และพอร์ต USB Type-C
แบตเตอรี่ : 4500mAh ระบบชาร์จไว 60W SuperDart Charge
OPPO Find X5 Pro 5G
OPPO Find X5 Pro 5G ก็ถือว่าเป็นแฟล็กชิปที่เน้นเรื่องกล้องอย่างจริงจัง ด้วยฮาร์ดแวร์ที่จัดเต็มตั้งแต่กล้องระดับแนวหน้าจนถึงชิป MariSilicon X Imaging NPU ใหม่ประมวลผลภาพถ่ายและวิดีโอกลางคืนได้ดีแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน อีกทั้งยังได้ภาพนิ่งที่ร่วมพัฒนากับ Hasselblad ได้โทนสีที่เป็นเอกลักษณ์
หน้าจอ: 6.7 นิ้ว LTPO2 AMOLED ความละเอียด 1440 x 3216 พิกเซล, Refresh Rate 120Hz
ระบบปฏิบัติการ: Android 12 ครอบทับด้วย ColorOS 12
หน่วยประมวลผล: Qualcomm Snapdragon 8 Gen 1
RAM: 12GB
ความจุเครื่อง: 256GB
กล้องหลัง 3 ตัว: เลนส์หลัก 50 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.7 เลนส์ Telephoto 13 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 เลนส์ Ultra-wide 50 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
กล้องหน้า: 32 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
การเชื่อมต่อ: Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6e, Bluetooth 5.2, NFC และพอร์ต USB Type-C
แบตเตอรี่: 5000mAh รองรับชาร์จเร็ว 80W SUPERVOOC (แบบสาย) 50W AIRVOOC (ไร้สาย)
OnePlus 10 Pro 5G
OnePlus 10 Pro 5G ใช้หน้าจอแสดงผล AMOLED LTPO 2.0 ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด QHD+ (3216 X 1440 พิกเซล) ภายในขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen 1 แบตเตอรี่มาที่ 5000mAh รองรับการชาร์จไร้สาย 50W AIRVOOC
หน้าจอ: 6.7 นิ้ว ความละเอียด QHD+, refresh rate 120Hz เทคโนโลยี LTPO 2.0
ระบบปฏิบัติการ: Android 12
ชิปเซ็ต: Snapdragon 8 Gen1
GPU: Adreno 730
RAM: 8GB/12GB
ความจุเครื่อง: 128GB/256GB
กล้องหลัง 3 ตัว: กล้องหลัก 48MP, IMX789 กล้อง Ultra Wide 50MP มุมกว้าง 150° กล้อง Telephoto 8MP
กล้องหน้า: 32MP
แบตเตอรี่: 5000mAh รองรับชาร์จไว 80W SUPERVOOC (แบบสาย) 50W AIRVOOC (ไร้สาย)
OnePlus Nord CE 2 5G
OnePlus Nord CE 2 5G สมาร์ทโฟนที่ให้มากกว่าที่คิดตามสโลแกน “A little more than you’d expect” ไม่ว่าจะเป็นชาร์จเร็ว 65W SUPERVOOC, กล้องหลัง 3 ตัว AI, และหน้าจอ Fluid AMOLED แบบ 90Hz
หน้าจอแสดงผล Fluid AMOLED ขนาด 6.43 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2400 x 1080 พิกเซล), 409ppi, อัตราส่วน 20:9 รองรับ Refresh rate 90Hz, HDR10+ และครอบทับด้วย Corning Gorilla Glass 5
หน่วยประมวลผล : MediaTek Dimensity 900 Octa-core
RAM : 8GB LPDDR4X
ROM : 128GB UFS2.2 เพิ่ม MicroSD Card สูงสุด 1 TB
กล้องถ่ายรูปด้านหลัง 3 เลนส์ ดังนี้ เลนส์หลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.79 เลนส์ Ultra Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 มุมกว้าง 119 เลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 ระยะโฟกัส 4 ซม.
กล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
ระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย OxygenOS 11.3
รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/ax, 2.4G/5G, Bluetooth 5.2, NFC และพอร์ต USB Type-C
แบตเตอรี่ความจุ 4500mAh รองรับชาร์จไว 65W SUPERVOOC
Samsung Galaxy A73 5G
Galaxy A73 5G มาพร้อมหน้าจอแสดงผล Super AMOLED+ แบบ Infinity-O ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2400 x 1080 พิกเซล) Refresh Rate 120Hz ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 778G พร้อมแบตเตอรี่ 5000mAh ชาร์จเร็ว 25W รัน Android 12 ครอบทับด้วย One UI 4.1
หน้าจอแสดงผล: 6.7 นิ้ว Super AMOLED
ระบบปฏิบัติการ: Android 12 ครอบทับด้วย One UI 4.1
หน่วยประมวลผล: Snapdragon 778G
GPU: Adreno 642L
RAM: 6GB/8GB
ความจุเครื่อง: 128GB/256GB
microSD card: รองรับ
กล้องหลัง 4 ตัว: เลนส์หลักความละเอียด 108 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8 เลนส์ Ultra-wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 เลนส์ Macro ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 เลนส์ Depth ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
กล้องหน้า: 32 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
การเชื่อมต่อ: Wi-Fi, Bluetooth และพอร์ต USB Type-C
แบตเตอรี่: 5000mAh รองรับชาร์จเร็ว 25W
Samsung Galaxy A23
Galaxy A23 ก็ถือว่าเป็นน้องเล็กรุ่นใหม่จาก A Series แต่ยัง “เก่งไม่กั๊ก” ตามสโลแกนเช่นเคย ด้วยสเปคที่ให้มาอย่างน่าสนใจทั้งชิปเซ็ต Snapdragon 680 หน้าจอขนาดใหญ่ 6.6 นิ้ว แบตเตอรี่ 5000mAh แถมยังได้กล้องหลัง 4 ตัวความละเอียด 50MP พร้อมกันสั่น OIS ถ่ายสวยทั้งภาพนิ่งและวิดีโอไม่มีการสั่นไหว เรียกว่าจัดมาให้ไม่มีกั๊ก ในเรทราคาไม่เกิน 8 พันบาท
หน้าจอแสดงผล: 6.6 นิ้ว TFT ความละเอียด FHD+ (1080 x 2408 พิกเซล)
ระบบปฏิบัติการ: Android 12 ครอบทับด้วย One UI 4.1
หน่วยประมวลผล: Snapdragon 680 4G
GPU: Adreno 610
RAM: 4GB/6GB/8GB
ความจุเครื่อง: 64GB/128GB
microSD card: รองรับ
กล้องหลัง: 4 ตัว เลนส์หลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8 เลนส์ Ultra-wide ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 เลนส์ Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 เลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
กล้องหน้า: 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
การเชื่อมต่อ: Wi-Fi, Bluetooth และพอร์ต USB Type-C
แบตเตอรี่: 5000mAh รองรับชาร์จเร็ว 25W
Samsung Galaxy M33 5G
Galaxy M33 5G สมาร์ทโฟนที่อัดแน่นไปด้วยฟีเจอร์และเทคโนโลยีขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นจอใหญ่ 6.6 นิ้ว แบบ 120Hz พร้อมชิปเซ็ตตัวใหม่ Exynos 1280 ขนาด 5nm และแบตเตอรี่อึดถึง 5000mAh รวมไปถึงกล้องหลัง 4 เลนส์
หน้าจอแสดงผล TFT ขนาด 6.6 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2408 x 1080 พิกเซล), Refresh Rate 120Hz
หน่วยประมวลผล : Exynos 1280 Octa-core ความเร็ว 2.4GHz
RAM : 8GB
ROM : 128GB รองรับการใส่ MicroSD Card สูงสุด 1TB
กล้องถ่ายรูปด้านหลัง 4 เลนส์ ดังนี้ เลนส์หลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8 เลนส์ Ultra-Wide Angle ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 มุมกว้าง 123 องศา เลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 ระยะโฟกัส 4 ซม. เลนส์ Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
ระบบปฏิบัติการ Android 12 ครอบทับด้วย One UI 4.1
รองรับ 5G
รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac 2.4G+5GHz, Bluetooth 5.1, พอร์ต USB Type-C และช่องเสียบชุดหูฟังขนาด 3.5 มม.
แบตเตอรี่ความจุ 5000mAh รองรับ 25W Fast Charge
เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับ มือถือใหม่ น่าใช้ ประจำเดือนพฤษภาคม 2022 เรียกได้ว่าแข่งขันกันดุเดือดมากๆ ตั้งแต่ต้นปีกันเลยทีเดียว ใครชอบรุ่นไหนหรือค่ายไหน ก็ลองเลือกรุ่นที่ถูกใจและเหมาะกับการใช้งานจะดีที่สุดครับ
Write a Comment