มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมสมาร์ตโฟนถึงมีราคาเพิ่มสูงมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา #beartai
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาราคาของสมาร์ตโฟนต่างทะยานสูงขึ้นอย่างผิดสังเกต สมาร์ตโฟนเรือธงหลาย ๆ รุ่นที่ราคามากถึง $1,500 และบางรุ่นกระโดดไปถึง $2,000 (~62,400 บาท) ซึ่งราคาของสมาร์ตโฟนเหล่านี้สูงเกินกว่าแล็ปท็อประดับกลางรวมถึงสมาร์ตทีวีหน้าจอ 4K ขนาด 75 นิ้วไปไกลแล้วพอสมควรเลยทีเดียว ทั้ง ๆ ที่เมื่อ 5 ปีก่อนสมาร์ตโฟนยังมีราคาที่ไม่แพงมากนัก เฉลี่ยอยู่ที่ราว $600-700 เท่านั้น (~18,720-21,840 บาท)
ย้อนกลับไปสมัยสมาร์ตโฟนที่แพงมาก ๆ ในเวลานั้นอย่าง iPhone รุ่นแรกที่เปิดตัวมาในราคา $599 (~18,700 บาท) ซึ่งนับว่าเป็นราคาที่แพงมากสำหรับมือถือเครื่องหนึ่ง จน Steve Ballmer, CEO ของ Microsoft ในเวลานั้นถึงกับเอ่ยปากว่า “มันมีโอกาสเลยที่ iPhone จะสามารถชิงส่วนแบ่งตลาดมาได้” แต่ถึงอย่างนั้นคนก็ยังเลือกซื้อ iPhone มาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะตอนนี้ iPhone 11 Pro Max ปรับความจุสูงสุดที่ 512GB มีราคาทะยานไปถึง $1,449 หรือราคาขายในไทยก็อยู่ที่ 52,900 สามารถซื้อ MacBook ได้เลยทีเดียว
จริง ๆ Apple ไม่ใช่บริษัทเดียวที่เพิ่มราคาแบบช้า ๆ แต่เยอะ ๆ อย่าง Google เองสมัยวางจำหน่าย Nexus S, Galaxy Nexus และ Nexus 4 ก็ขายอยู่แค่ $350 (~10,900 บาท) แต่พอมาถึงยุค Nexus 6, Google ก็ได้เพิ่มราคาเป็น $649 (~20,200 บาท) จนมาถึง Pixel 4 ก็มีราคาที่ทะยานไปถึง $999 (~31,200 บาท) แล้วเช่นเดียวกัน และยิ่งมาถึงยุคเริ่มต้นของเทคโนโลยีหน้าจอพับได้อย่าง Samsung Galaxy Fold ก็ทำให้สมาร์ตโฟนเครื่องหนึ่งมีราคาถึง $1,980 ได้เลยล่ะครับ (~61,800 บาท)
Avi Greengart ประธานฝ่ายวิเคราะห์ของ Techsponential กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดสมาร์ตโฟนได้มาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว แถมผู้ใช้งานก็ถือสมาร์ตโฟนเครื่องเดิมนานขึ้นกว่าเดิม สิ่งที่ผู้ผลิตทำได้คือสร้างกำไรจากเครื่องรุ่นใหม่ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มันก็นับเป็นโอกาสเช่นกัน สมาร์ตโฟนมีบทบาทมากเมื่อเทียบกับหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา มันกลายเป็นสิ่งที่ถูกใช้มากกว่าปกติ
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีผู้ผลิตที่ทำสมาร์ตโฟนออกมาสเปกพอ ๆ กับเรือธงสุดแพงอย่าง OnePlus ที่ทำสมาร์ตโฟนในสเปกที่ไม่แพ้สมาร์ตโฟนราคา 3-4 หมื่น แต่ขายถูกกว่ามาก แต่ตอนนี้ผู้ผลิตอย่าง Apple หรือ Samsung ต่างก็ทำสมาร์ตโฟนระดับไฮเอนด์และทำสมาร์ตโฟนสเปกรองลงมาหน่อย เทียบง่าย ๆ ก็คือ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 เป็นต้น แต่ที่น่าแปลกใจคือสมาร์ตโฟนที่ขายดีที่สุดไม่ใช่กลุ่มเรือธงหรือรุ่นที่แพงมาก ๆ แต่กลับเป็นรุ่นรองลงมาอย่าง iPhone 11 มากกว่า
ยกตัวอย่างหน้าจอของสมาร์ตโฟนมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น มีคุณภาพที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับไม่กี่ปีที่ผ่านมา หน้าจอครอบด้วยกระจกที่ทนทานต่อการกระแทกเพื่อป้องกันการแตกให้มากที่สุด แบตเตอรีมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ความจุของเครื่องที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ชิปประมวลผลที่ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น โดยผู้ผลิตต่างแข่งขันกันออกแบบเพื่อพยายามทำให้ชิปประมวลผลของตนนั้นแรงทัดเทียมกับแล็ปท็อปได้ กล้องหลายตัว หลายเซนเซอร์ ความปลอดภัยของโทรศัพท์ที่ใช้ระบบตรวจสอบด้วยสแกนลายนิ้วมือหรือใบหน้า ยิ่งสมาร์ตโฟนรุ่นแพงก็มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้นอีก อย่าง หน้าจอพับได้, โมเด็ม ultra wide-band, ระบบซูมแบบ Periscope, รองรับ 5G และอื่น ๆ
สมาร์ตโฟนในยุคไม่กี่ปีที่ผ่านมาถูกพยายามเพิ่มความสามารถหลาย ๆ อย่างเข้ามาจนต้องอาศัยฮาร์ดแวร์หลายชิ้นมากขึ้น แต่ฮาร์ดแวร์ก็ไม่ใช่ปัจจัยทั้งหมดเมื่อซอฟต์แวร์เองก็เป็นปัจจัยที่ทำให้มีต้นทุนเช่นเดียวกัน
ถึงแม้ว่า Google จะมี Android ให้ใช้ฟรี แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าผู้ผลิตไม่มีต้นทุนในการพัฒนาซอฟต์แวร์เลย เพราะแต่ละค่ายต่างก็พัฒนา OS พร้อมฟีเจอร์ต่าง ๆ ลงระบบปฏิบัติการ Android เพื่อสร้างคุณสมบัติที่แตกต่างและฟีเจอร์ใหม่ ๆ อย่าง Samsung – OneUI, Huawei – EMUI และ Xiaomi – MIUI เป็นต้น รวมถึงยังมีซอฟต์แวร์ด้านบริการที่ต้องอาศัยระยะเวลาในการพัฒนาอย่าง Siri หรือ Google Assistant เป็นต้น
จริง ๆ เป็นการยากที่ราคาของสมาร์ตโฟนโดยเฉพาะระดับเรือธงจะลดลงมากกว่าเดิม และยิ่งเป็นสมาร์ตโฟนระดับเรือธงที่ผู้ผลิตพยายามเพิ่มสิ่งใหม่ ๆ เข้าไปเพื่อกระตุ้นความอยากเปลี่ยนหรือซื้อเครื่องใหม่ของผู้ใช้งานแล้วดูยิ่งเป็นการยากเข้าไปใหญ่เลยครับ
Write a Comment